วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราช ๖





พระราชาทรงประทับยืนที่อโศการาม  ทอดพระเนตรดูการฉลองพระวิหาร ที่รุ่งโรจน์อยู่ด้วยการบูชาสักการะของมหาชน ด้วยความปิติปราโมทย์  แล้วตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า

ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ในศาสนาของพระทศพลโลกนาถเจ้าของเราทั้งหลาย มีผู้ใดบ้างที่ได้สละปัจจัยมากมาย ทำการก่อสร้างวิหารและเจดีย์เป็นต้น เพื่อถวายไว้เป็นสมบัติของพระศาสนา เช่นที่โยมกระทำอยู่ บัดนี้จะถือได้ว่า โยมเป็นทายาทแห่งพระศาสนาได้หรือไม่

พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ  ทูลตอบว่า
ขึ้นชื่อว่าผู้ถวายปัจจัยในพระศาสนาของพระศาสดาเช่นกับพระองค์ แม้เมื่อพระตถาคตเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ไม่มีผู้ใดเลย พระองค์เท่านั้นทรงมีการบริจาคที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็นผู้ยกย่องเชิดชูพระศาสนาที่แท้ แม้กระนั้นพระองค์ยังได้ชื่อว่าเป็นเพียงปัจจยทายก คือผู้อุปัฏฐากพระศาสนาเท่านั้น  ต่อเมื่อใดพระองค์ยินยอมให้ทายาทของพระองค์ได้บวช เมื่อนั้นพระองค์จึงจะได้ขึ้นชื่อว่า ทายาท ของพระศาสนาอย่างแท้จริง


พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระโอรส ซึ่งประทับอยู่ในที่ไม่ไกล   ดำริว่า เราประสงค์จะสถาปนาพระกุมารองค์นี้ไว้ในตำแหน่งอุปราช จำเดิมแต่เวลาที่ติสสกุมารผนวชแล้ว  ก็จริงอยู่ แต่ถึงกระนั้น การบรรพชาเป็นคุณชาติอุดมกว่ากว่าตำแหน่งอุปราชเสียอีก

 พระราชาจึงตรัสถามพระโอรสและพระธิดาว่า เธอบวชได้ไหม ทั้งสองพระองค์ประสงค์จะผนวชอยู่แล้ว  ทูลตอบว่า ได้พระเจ้าข้า พระราชาทรงขอบใจพระโอรส และพระธิดา มีพระราชหฤทัยเบิกบาน ตรัสกับภิกษุสงฆ์

ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย จงให้กุมาร กุมารีเหล่านี้บวช เพื่อกระทำให้โยมเป็นทายาทพระศาสนาเถิด

ขอขอบคุณข้อมูลจากพระพุทธกิจ ๔๕ พรรษา สุรีย์ มีผลกิจ-วิเชียร มีผลกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น