วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฃีวิตจริงที่ยิ่งกว่าบทประพันธ์ 6 ของศรินทร

ตะวันฉายเฉิดฉัน....ในวันนี้




คุณหนุ่ยพบกับความทุกข์ทางใจอีกครั้ง แต่ไม่เคยละทิ้งหน้าที่แม่ต่อลูก ๆ ทั้ง 4 คน เป็นทั้งพ่อและแม่เบ็ดเสร็จในตัว บางครั้งก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ลูกสาวและลูกชายคนเล็กจะเข้ามากอดและซับน้ำตาให้และบอกว่า "เรารักหม่ามี้ี หมามี้อย่าร้องไห้นะ
ลูกชายคนเล็กบอกคุณหนุ่ยว่า "เจมส์สัญญาจะเป็นเด็กดี จะตั้งใจเรียนหนังสือ โตขึ้นไม่ติดยา "
คุณหนุ่ยดึงลูก ๆ เข้ามากอด และหลังจากนั้นก็ไม่ร้องไห้ให้ลูก ๆ เห็น แต่ร้องในเวลาอาบน้ำ ทั้งสายน้ำและน้ำตาคุณหนุ่ยคลุกเคล้ากันไป



คุณศรินทรและคุณแม่ขณะวัย 86 ปี

การที่ไม่มีใครที่จะปรับทุกข์ด้วย คุณหนุ่ยจึงเล่าเรื่องความทุกข์ของแม่ให้ลูก ๆ ฟังทั้ง 4 คนฟังและปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ทำให้ ลูก ๆ ทั้ง 4 คน และหม่ามี้ถูกหลอมกันเป็นแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวในความรักความเข้าใจ ลูก ๆ ทั้ 4 คนทำตัวเหมือนเอามือประสานกันไว้เพื่อห้อมล้อมคุณหนุ่ยไว้จากภัยอื่น ๆ ที่จะมากรายกล้ำอีก



ความรักของลูก ๆ ที่มีต่อคุณหนุ่ยผูกพันแนบแน่นมากขึ้นตามกาลเวลา นับเป็นพระพรสูงสุดที่พระเป็นเจ้าประทานให้แก่คุณหนุ่ยมาจนทุกวันนี้ แต่คุณหนุ่ยก็ยังจมปลักอยู่กับกองทุกข์ความเจ็บปวดในใจตลอดมา
แล้ววันหนึ่งคุณหนุ่ยก็มีสติรู้ตัวว่าหลังจากคืนวันคริสต์มาสคืนสำคัญนั้นแล้ว อัศจรรย์ที่ได้เกิดกับคุณหนุ่ย จนชนะคดีเรียบร้อยแล้วคงเปล่าประโยชน์ คุณหนุ่ยต้องค้นหาพันธกิจที่พระเจ้าต้องการให้คุณหนุ่ยกระทำเพื่อตอบแทนพระคุณของพระองค์


คุณหนุ่ยตั้งหลักให้ตัวเองใหม่ ไปที่โบสถ์ในซอยวัฒนา (สุขุมวิท 19) เพื่อใช้เป็นที่แสวงหาพระเจ้า คุณหนุ่ยไปโบสถ์แต่เช้าทุกวันอาทิตย์ กระตือรือร้นที่จะเรียนพระคัมภีร์
คุณหนุ่ยรู้สึกเหมือนเด็กหลงทางที่หาทางกลับบ้านได้ ใช่แล้วนี่คือบ้านที่คุณหนุ่ยใฝ่หา



3 ปีที่ผ่านไปที่คุณหนุ่ยเป็นเด็กหลงทางแม้จะพบบ้านแล้ว แต่ไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ เหมือนมีคลองขวางกั้นไม่ให้ข้ามไป แม้จะเดินวนหลายรอบแล้ว ก็ยังไม่พบสะพานที่จะเดินข้ามคลองเข้าบ้านได้

6 เดือนต่อมา คุณหนุ่ยก็รับศีลล้างบาปเป็นคาธอลิคอย่างสมบูรณ์เป็นคริสตชนเต็มตัวอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2539 ( ค.ศ. 1996 )และแสวงหาทางที่จะรับใช้พระ จากการอ่านพระคัมภีร์และศึกษาพระคริสตธรรมทุกวัน จนคุณหนุ่ยได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์

คุณหนุ่ยเริ่มรู้สึกว่าพระเจ้ามิได้ทรงอยู่บนสวรรค์ไกลโพ้นนั่นเลย คุณหนุ่ยรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังทรงตอบคุณหนุ่ยทุกครั้งที่อ่านพระวาจา คุณหนุ่ยได้ค้นพบกุญแจที่สามารถไขชีวิตให้หลุดจากโซ่ตรวนที่พันธนาการคุณหนุ่ยกับความทุกข์ได้

แต่จากพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และค่าเงินบาทอ่อนตัวลงทุกวัน บริษัทคุณหนุ่ยจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าโดยเครดิตทั้งหมด เงินสดหมุนเวียนของบริษัทสะดุด จนวันหนึ่งคุณหนุ่ยรู้สึกว่าเหนื่อยมากคิดว่าจะประคองธุรกิจสองบริษัทต่อไปไม่ไหว มองไปเบื้องหน้าเห็นแต่ท้องฟ้าที่มืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงริบหรี่จากดวงจันทร์หรือดวงดาวเลยแม้แต่น้อย

คุณหนุ่ยมีเพื่อนรักที่มีความผูกพันโดยความรักของทั้งสองที่มีต่อพระเจ้า เธอเป็น " " เพื่อนจิตวิญญาณ " เวลามีทุกข์ก็จะแบ่งปันและปลอบใจซึ่งกันและกัน คุณหนุ่ยปรับทุกข์ว่าทนไม่ไหวแล้วจะให้ธนาคารมายึดทุกสิ่งทุกอย่าง และคุณหนุ่ยจะไปรับใช้พระเจ้าอย่างเดียว ไปเป็นหญิงกวาดวัดก็ยังดี

คุณจุฑารัตน์ ตัน ปลอบใจมาว่า "พระเจ้าทรงใช้ทุกคนไม่เหมือนกัน พระองค์จะทรงใช้แต่ละคนตามความสามารถของคน ๆ นั้น คุณหนุ่ยเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถ ก็สามารถรับใช้พระองค์โดยการเป็นนักธุรกิจได้ คนเก่งอย่างคุณหนุ่ยไปเป็นผู้หญิงกวาดวัด มิเสียดายแย่หรือ"




ต่อมาคุณหนุ่ยก็ได้ฟังเทศน์ถึงการรับใช้พระโดยผ่านอาชีพของเราและในการดำเนินชีวิตประจำวันโดยไม่จำเป็นต้องร่วมกิจกรรมด้านศาสนาอย่างเดียว

ในหนังสือภูเขาเคลื่อนได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความอัศจรรย์จากพระเจ้าหลายเรื่องขอเชิญผู้สนใจติดตามไปอ่านได้ว่าภูเขาเคลื่อนได้เพราะเหตุใดกัน

คุณหนุ่ยต้องฟันผ่ากับภาวะเศรษญกิจจนพ้นวิกฤติได้อีกครั้ง และต่อ ๆ มา คนที่เพิ่งรู้จักคุณหนุ่ยในช่วงหลังส่วนใหญ่จะคิดว่าคุณหนุ่ยเป็นคนรวย ที่คุณหนุ่ยจะน้อมรับด้วยความถ่อมตนว่า คุณหนุ่ยไม่ใช่คนรวยอะไรหรอก แต่คุณหนุ่ยมีความรวยที่มีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นแสนเป็นล้านเท่า คุณหนุ่ยรวยความสุึขใจและรวยความรักในใจต่างหาก



คุณหนุ่ยได้ค้นพบขุมทรัพย์ที่วิเศษมีค่ามหาศาล คุณหนุ่ยบอกว่าคนเราจะนับถือศาสนาอะไรเป็นเรื่องความเชื่อความศรัทธาและเป็นเรื่องส่วนตัวของคน ๆ นั้น ที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ศาสนิกชนนั้นควรจะต้องเข้าใจถึงหลักธรรมะซึ่งเป็นแก่นแท้ของศาสนาของตัวเอง นั่นแหละศาสนาจึงจะเป็นแสงส่ว่างส่องทางให้แก่ชีวิตและจิตวิญญาณให้เราได้

คุณหนุ่ยสามารถให้อภัยกับผู้ที่ทำให้คุณหนุ่ยเจ็บปวดครั้งที่สองหลังจากความเจ็บปวดเรื่องคดีได้อีกครั้ง คุณหนุ่ยปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวนแห่งความทุกข์ทรมานหลุดพ้นจากเพลิงเผาทั้งปวงกลับมาใช้ชีวิตอย่างสันติสุข คุณหนุ่ยเป็นอิสระจากกองเพลิงแห่งความเจ็บแค้น เจ็บปวด ยิ่งนับวันยิ่งเดินห่างออกจากมลภาวะทางจิตใจทั้งหลาย ห่างออกไป ห่างออกไป และเข้าสู่ดินแดนแห่งความสุขสดชื่นเพราะเป็นดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ที่เต็มเปี่ยมด้วยธรรมะของพระเจ้า




พรสวรรค์......อันตระการตา

เมื่อวันที่พลอยโพยมไปเยี่ยมคุณศรินทรที่บริษัทพบภาพวาดฝีมือของคุณศรินทรเองมากมายหลายภาพงดงามวิจิตร ทั้งภาพเกี่ยวกับศาสนา ภาพวิวทิวทัศน์ ภาพดอกไม้ จนต้องขออนุญาตถ่ายภาพมา แต่ภาพที่ได้ไม่งดงามใกล้เคียงกับความจริง อาจเป็นเพราะภาพติดผนังอยู่สูงเกินไป อีกทั้งแสงไฟในตัวอาคารก็มีส่วน และที่สำคัญคือฝีมือคนถ่ายภาพยังใช้การไม่ได้นั่นเอง

คุณศรินทรได้กรุณาเล่าชื่อของภาพ ลำดับความโปรดปรานของคนวาดเอง รวมทั้งความเป็นมาหรือแรงบันดาลใจในแต่ละภาพด้วย

ผลที่สุดก็ขอใช้วิธีสื่อภาพวาดบางภาพด้วยการแสกนภาพจากหนังสือภูเขาเคลื่อนได้ และคัดลอกมาจาก.thaicatholicbible.com ศิลปะเพื่อพระเจ้า ผลงานของคุณศรินทร


คุณศรินทรเล่าให้ฟังว่า
งานวาดภาพของคุณศรินทรเกิดจาก คุณจอยบุตรสาวคนโตเคยชนะการประกวดภาพวาด (โดยไม่ได้ไปร่ำเรียนวิชาการวาดภาพเป็นพิเศษมาจากไหน)

เมื่อเห็นฝีมือวาดภาพของคุณจอยแล้วก็รู้สึกว่า คุณจอยเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านนี้แต่คุณศรินทรคิดไกลต่อไปว่าพรสวรรค์นี้คุณจอยได้มาอย่างไร จากใคร แล้วคุณศรินทรก็สรุปว่า คุณจอยได้รับพรสวรรค์นี้ไปจากตัวคุณศรินทรซึ่งเป็นคุณแม่เอง ดังนั้นตัวคุณศรินทรก็น่าจะมีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพด้วย

หลังจากสอบถามคุณจอยถึงอุปกรณ์การวาดภาพ วิธีการลงสีระบายภาพแล้ว คุณศรินทรก็ไปซื้ออุปกรณ์การวาดภาพมาเตรียมไว้ และลงมือวาดภาพในวันที่เกิดแรงบันดาลใจ
(พลอยโพยมก็เลยได้ทราบว่าวิธีการใช้อุปกรณ์ลงสีมีอุปกรณ์หลายอย่าง)

ขออภัยที่พลอยโพยมจัดภาพไม่เรียงตามลำดับ แต่ลำดับภาพโดยเน้นลักษณะแนวตั้งแนวนอนของภาพ



ภาพโปรดที่ 3 วาดเมื่อ ส.ค. 2007
ชื่อภาพ A Doubting Thomas
oil on canvas ขนาด 70x100 ซม.
ภาพนี้ได้ถวายแด่พระคุณเจ้าพระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2007
ขณะนี้แขวนอยู่ที่ห้องรับแขก สังฆมณฑลกรุงเทพฯ






ภาพโปรดที่ 2 วาดเมื่อ   ก.ย. 2007
ชื่อภาพ My Jesus
oil on canvas ขนาด 30x40ซม.
ภาพนี้ได้ถวายแด่ ฯพณฯ พระอัครสังฆราช ซัลวาตอเร เพ็นนัคคีโอ
อดีตอัครสมณทูตวาติกัน ประจำประเทศไทย
ขณะนี้แขวนอยู่ที่สถานเอกอัครสมณทูตวาติกัน ประจำประเทศไทย





ภาพโปรดที่ 1 วาดเมื่อ มิ.ย.2009
ชื่อภาพ Annunciazione
oil on canvas ขนาด 70x100ซม.
ภาพนี้ได้แรงบันดาลใจจากการไปแสวงบุญที่กรุงโรม
ใช้เวลาวาดทั้งสิ้น 107ชม.
ปัจจุบันติดอยู่ในห้องทำงานของคุณศรินทรที่บริษัท SHOWERKING ที่อมตะนคร






ชื่อภาพ "จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน"
มัทธิว 7:7
oil on canvas ขนาด 50x40 ซม.





ชื่อภาพ Love your Enemy
จงรักศัตรูของท่าน ลูกา 6:27
oil on canvas ขนาด 35x50 ซม.




ชื่อภาพ House of God, พระนิเวศของพระเจ้า
oil on canvas ขนาด 50x70 ซม.
ภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากปกอุดมสาร
ฉบับที่ 27 ประจำวันที่ 1-7 กรกฎาคม 2007
และเป็นการวาดแบบ Expressionist ใช้เกรียงวาดทั้งภาพ




ชื่อภาพ "คำสรรเสริญพระเจ้าจะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ"
สดุดี 34:1
oil on canvas ขนาด 30x40 ซม.




ชื่อภาพ "ผู้ใดที่ฟังเรา ก็เป็นสุข"
สุภาษิต 8:34
oil on canvas ขนาด 30x40 ซม.




ภาพแรกเป็นภาพที่วาดในปี ค.ศ. 2005
เป็นคืนที่คุณศรินทรอยู่บ้านคนเดียวและรู้สึกเหงามาก จึงวาดภาพต้นไม้ในป่าอเมซอน เป็นภาพ 3 ภาพ ภาพกลางเป็นภาพเริ่มต้นที่ใช้เวลาวาด 1 คืน




ภาพวาดเมื่อปี ค.ศ. 2006




ชื่อภาพ We are the real Vine
เราเป็นเถาองุ่นแท้ ยอห์น 15:1
oil on canvas ขนาด 40x30 ซม.




ชื่อภาพ Lourdes, ลูร์ด
oil on canvas ขนาด 50x70ซม.
ภาพนี้ต้องการให้เห็นถึงการประจักษ์ของแม่พระ
โดยใช้สถานที่จริงในปัจจุบันเป็น setting




ชื่อภาพ The One Lost Sheep, แกะหายตัวนั้น
oil on canvas ขนาด 60x40ซม.
ภาพนี้เป็นภาพวาดที่เรียกว่า allegorical painting
คือเป็นภาพวาดที่เล่าถึงเรื่องราว
แกะดำตัวที่พระเยซูเจ้าทรงอุ้มอยู่นั้นคือ แกะ 1 ตัวที่หายไป
ส่วนฝูงแกะที่อยู่บนเมฆนั้นคือแกะ 99 ตัวที่รอดไปแล้ว
ดินแดนทางซ้ายมือคืนถิ่นทุรกันดาร แต่พอใกล้องค์พระเยซูเจ้าแล้ว
จะเป็นแผ่นดินที่มีความสว่างและเลยจากพระองค์ไปจะเป็นแผ่นดิน
อุดมสมบูรณ์ มีดอกไม้ต้นไม้เขียวชะอุ่ม
ส่วนเจ้าแกะตัวใหญ่คือ แกะอิจฉาหรือเปรียบเป็นพี่ชายในเรื่องลูกล้างผลาญ
เป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่อิจฉาตาร้อน




ชื่อภาพ Love Your God … with all you Heart
จงรักพระเจ้า...อย่างสิ้นสุดจิตสุดใจ มัทธิว 22:37
oil on canvas ขนาด 40x30 ซม.

ขอขอบคุุณภาพจาก
หนังสือภูเขาเคลื่อนได้ "ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่ายบทประพันธ์"
ศิลปะเพื่อพระเจ้า
http://www.thaicatholicbible.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=2398:a-doubting-thomas&catid=141&Itemid=53 (ยังมีภาพต่าง ๆ  ที่ไม่ได้สื่ออีกเชิญติดตามไปชมได้)


ส่วนผลงานภาพที่พลอยโพยมถ่ายภาพมาจากบริษัท SHOWERKING ต่อไปนี้ ต้องอภัยท่านเจ้าของภาพที่สื่อความงดงามวิจิตรตระการตาได้ไม่สมภาพของจริง




















แท่นบูชาที่คุณศรินทรต้องมากราบพระทุกวันในสำนักงาน



แท่นบูชาอีกแท่นหนึ่งในสำนักงานของคุณศรินทรผู้เชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้า

มาวันนี้พลอยโพยมจึงไม่แปลกใจกับตัวตนของคุณศรินทรที่พลอยโพยมได้เคยได้รู้จักเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้วมาในฐานะที่คุณศรินทรเป็นลูกค้าของธนาคาร คุณศรินทร ผู้มีบุคลิกสง่างาม ทันสมัย เชื่อมั่นในตนเอง เข้ากับคนง่าย ใจดี ไม่ถือตัว ในแววตาฉายความโอบอ้อมอารี มีเมตตา มองโลกในแง่ดี คุณศรินทรผู้มากับรอยยิ้มแย้มเยือนให้กับทุก ๆ คน ทุก ๆ ครั้งที่ก้าวเข้ามาในธนาคาร

ซึ่งทั้งนี้ คุณจอยบุตรสาวคนโตที่พลอยโพยมเคยได้รู้จัก เริ่มต้นจากรู้จักกันทางเสียงโทรศัพท์ก่อนการได้รู้จักตัวจริง สำหรับการพบกันครั้งแรกเป็นวันที่คุณจอยกำลังจะไปคลอดหลานชายคนแรกให้คุณยาย (คุณศรินทร ) พลอยโพยมแยกมาขึ้นรถตนเองกลับสำนักงาน ส่วนคุณจอยก็ขึ้นรถพยาบาล ไปโรงพยาบาล พลอยโพยมก็ประทับใจมากเช่นกัน รู้สึกเลยว่าคุณจอยถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างมาจากคุณศรินทรนั่นเอง
อีกทั้ง ดร.รุจ ณ สงขลา สามีของคุณจอยเข้ามาเป็นบุตรเขยก็เหมาะสมกับการเข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับคุณศรินทรเป็นอย่างยิ่ง

ช่างเป็นครอบครัวแม่ลูกที่อบอุ่น อบอวลด้วยความรัก น่าประทับใจมากจริง ๆ


ใบไผ่ของพลอยโพยมก็มีศรัทธาในพระเจ้าเช่นกัน

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฃีวิตจริงที่ยิ่งกว่าบทประพันธ์ 5 ของศรินทร



แสงเรื่อรำไร...ในขอบฟ้ากว้าง...




นอกจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจไปแจ้งความกับกองปราบปรามแล้วยังดำเนินการฟ้องคุณหนุ่ยที่ศาลแพ่งด้วย เมื่อคุณหนุ่ยหนีไปต่างประเทศคดีแพ่งจึงพักไว้ก่อน ส่วนคดีอาญาเมื่อหมดอายุความแล้วก็ไม่สามารถจับคุณหนุ่ยเข้าคุกได้ 

พนักงานคนที่คุณหนุ่ยไปเป็นประธานงานแต่งงานให้ ยังคงไปขึ้นศาลในฐานะพยานและให้การเท็จมาตลอด
ทนายโจทก์ก็เคยเป็นลูกน้องของคุณหนุ่ยได้ไปยื่นต่อศาลว่าทนายความของคุณหนุ่ยเคยทำงานให้โจทก์ (บริษัท ฯ ) มาก่อน ทนายความของคุณหนุ่ยจึงต้องลาออกจากการว่าความให้คุณหนุ่ยและแนะนำทนายความคนใหม่ให้

มูลเหตุการกล่าวหานั้นเนื่องมาจากการที่คุณหนุ่ยหาลูกค้ากลุ่มหนึ่้งมาซื้อหุ้นเพื่อนำใบหุ้นไปจำนำที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด เพื่อนำเงินมาให้ลูกค้าเงินฝากถอนเงินในขณะที่เกิดวิกฤติ (ดังได้กล่าวถึงไว้แล้ว ) หุ้นที่กลุ่มลูกค้าเหล่านั้นซื้อไว้มีมูลค่าตกลงมาเรื่อย ๆ ตามภาวะตลาดหุ้นในขณะนั้น
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจได้ทำการขายหุ้นออกทั้งหมด ( force sell ) เกิดการขาดทุนขึ้นใน port ของลูกค้าทุกคนในกลุ่มนั้น
เมื่อบริษัท ฯ เรียกเงินส่วนที่ขาดทุนจากพวกลูกค้าไม่ได้ จึงมีการฟ้องศาล ลูกค้ากลุ่มนี้ได้ต่อสู้คดีว่า พวกเขามิได้ซื้อขายหุ้นจริงและชนะคดี

ผู้ใหญ่คนที่ให้คุณหนุ่ยลงนามในเอกสารที่คุณหนุ่ยไม่ยอมลงนามให้ในห้องประชุมของธนาคารทหารไทยเมื่อหลายปีก่อน มีอำนาจเต็มเหนือทั้งบริษัท ฯ และธนาคารทหารไทยจึงสั่งให้ดำเนินคดีกับคุณหนุ่ยทันทีทั้งทางแพ่งและทางอาญา ทั้ง ๆ ผู้ใหญ่คนนี้เองเป็นผู้ลงนามร่วมกันกับคุณหนุ่ยในการไปกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย ตลอดจนทราบดีว่าเงินจำนวนดังกล่าวที่ได้มาในการนี้ทั้งหมดนำมาให้ลูกค้าเงินฝากถอนไปในขณะเกิดวิกฤติของบริษัท ฯ



คุณหนุ่ยหาทนายความคนใหม่ โดยเลือกจากทนายความที่เพิ่งชนะคดีความที่กำลังเป็นข่าวในสังคม เป็นเรื่องที่สายการบินคาเธย์แปซิฟิคเที่ยวบินที่จะไปประเทศสหรัฐอเมริกาได้จับกุมคนไทยคนหนึ่งโดยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางระเบิดไว้ใต้ที่นั่งของภรรยาชาวฟิลิปปินส์และบุตรสาววัย 10 ขวบ ของเขาเอง ผู้โดยสารตายหมดทั้งลำ ชายผู้นี้ได้รับเงินค่าประกันชีวิตของภรรยาและบุตรสาวเป็นจำนวนมาก จากการสอบสวนมีหลักฐานที่มัดแน่น ชายคนไทยคนนี้มีบิดาเป็นทนายความชื่อดังซึ่งสามารถว่าความให้บุตรชายชนะคดีความหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้

คุณหนุ่ยไปหาทนายความคนนี้เล่าเรื่องราวทั้งหมดและขอให้เขาว่าความให้ คดีของคุณหนุ่ยเป็นเรื่องราวที่วงการเงินการธนาคารตลอดจนวงการทนายความให้ความสนใจมาก ทนายความคนนี้ก็รู้เรื่องราวของคุณหนุ่ยดีก่อนหน้าคุณหนุ่ยไปพบแล้ว ทนายความบอกคุณหนุ่ยว่าขอเวลา 1 เดือนในการตัดสินใจให้คำตอบ จนถึงวันนัดหมายทนายความได้แจ้งกับคุึณหนุ่ยว่ายินดีว่าความให้โดยคิดค่าทนายเป็นเงิน 4 ล้านบาท โดยคุณหนุ่ยต้องจ่ายเงินทันทีก่อน 3 ล้านบาท เมื่อชนะคดีจึงจ่ายอีก 1 ล้านบาท คุณหนุ่ยได้ขอร้องว่าตนเองเพิ่งกลับมาเมืองไทยหลังจากลี้ภัยไปนานจะหาเงินจำนวนนี้มาจากไหนกัน ทนายความตอบว่าแม้จะเห็นใจคุณหนุ่ยแต่คงช่วยอะไรไม่ได้เพราะสำนักงานของเขาไม่ใช่องค์กรการกุศล

คุณหนุ่ยกลับบ้านด้วยความท้อแท้หัวใจห่อเหี่ยว แต่ไม่ยอมสิ้นความหวังและดิ้นรนหาทนายความคนใหม่อีก มีญาติของคุณหนุ่ยแนะนำทนายความคนใหม่ให้อีกโดยเรียกค่าทนายความเป็นเงิน 3 ล้านบาท

 แล้วคุณหนุ่ยก็ระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ได้ ว่า พระเจ้าได้ตรัสกับคุณหนุ่ยว่า "วันหนึ่งความจริงจะปรากฎ " และคุณหนุ่ยก็คิดต่อว่า คุณหนุ่ยมีพระเจ้านี่ พระเจ้าย่อมต้องยิ่งใหญ่กว่าทนายความ คุณหนุ่ยไม่ต้องมีทนายความ คุณหนุ่ยจะพึ่งพระเจ้า

ด้วยความคิดนี้คุณหนุ่ยจึงปลดทนายความคนเดิมออกจากคดีและไปศาลโดยไม่มีทนายความท่ามกลางความแปลกใจของศาล



ในเวลานั้นความเชื่อของคุณหนุ่ยที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าได้เพิ่มพูนจนถึงขั้นเป็นความเชื่อที่ปราศจากเงื่อนไข ชนิดที่ใช้คำว่า " ิBlind faith " คุณหนุ่ยเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยคุณหนุ่ยทำให้ความจริงปรากฎได้ ควบคู่กับเชื่อในคำสอนว่า " พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตัวเองเท่านั้น" ด้วย
คุณหนุ่ยตัดสินใจบุกไปที่บริษัท ฯ เป็นเวลาที่ผู้ใหญ่คนสั่งการดำเนินคดีนี้อย่างตามล้างตามผลาญคุณหนุ่ย ได้เกษียณงานไปแล้ว


เมื่อครั้งที่คุณหนุ่ยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ ในวัย 25 ปี ในขณะที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์อื่น ๆ มีอายุ 40 ปีขึ้นไป คุณสุขุม นวพันธ์ เคยพูดทีเล่นทีจริงกับคุณหนุ่ยว่า คุณสมบัติของคุณหนุ่ยที่จะเป็นสมาชิกของ YPO ( Young president Organization ) นั้นไม่ qualified เพราะคุณหนุ่ยดำรงตำแหน่ง president ในวัยที่ younger than younger


ในบรรดาเพื่อน ๆ ทั้งหลายของคุณหนุ่ย มีท่านหนึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ SICCO เคยพูดเล่นกับคุณหนุ่ยว่า คุณเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างนวธนกิจในวัยไม่ถึง 30 ปี แล้วตอนที่คุณหนุ่ยอายุ 40 ปีเท่าเขา คุณหนุ่ยจะเป็นอะไร ซึ่งคุณหนุ่ยเคยตอบคำถามนี้ว่า คุณหนุ่ยไม่ทราบเหมือนกัน เพื่อนท่านนี้ก็คือ คุณธนบดี โสภณศิริ (ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว) ซึ่งในเวลาที่คุณหนุ่ยบุกไปที่บริษัท ฯ เก่าของคุณหนุ่ย กำลังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริิษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ



คุณหนุ่ยและคุณธนบดี รับประทานอาหารกลางวันกันที่ โรงแรม Siam intercontinental (สยามพารากอนในปัจจุบันนี้นั่นเอง) เมื่อฟังเรื่องราวของคุณหนุ่ยจบ คุณธนบดีพูดว่า เมื่อเข้ามารับตำแหน่งก็ทราบว่ามีการฟ้องร้องคุณหนุ่ยแต่ไม่ทราบรายละเอียด คุณธนบดีได้แนะนำให้คุณหนุ่ยไปพบกรรมการของบริษัทเงิืนทุนหลักทรัพย์นวธนกิจตั้งแต่ยุคแรก และได้กลับมาเป็นกรรมการของบริษัท ฯ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อธนาคารทหารไทยกลับมาถือหุ้นใหญ่จนถึงปัจจุบัน (ในขณะนั้น) คุณธนบดีบอกว่าท่านผู้ใหญ่คนนี้น่าจะรับฟังคุณหนุ่ยได้ดีกว่าคุณธนบดี คุณหนุ่ยขอร้องให้คุณธนบดีนัดหมายการเข้าไปพบให้

คุณอนุชาติ ชัยประภา เป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล เป็นผู้ใหญ่ที่คุณหนุ่ยเคารพนับถือ ยินดีให้คุณหนุ่ยเข้าพบ
เมื่อได้รับฟังเรื่องราวจากคุณหนุ่ย ท่านเงียบไปชั่วขณะและบอกสั้น ๆ ว่า "ผมเชื่อคุณ "

คุณหนุ่ยคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้ในช่วงเวลาที่สั้นมากหลังจากได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดของความเป็นมาเป็นไปของเรื่อง คุณหนุ่ยทั้งตื้นตันและตื่นเต้น ลุกจากเก้าอี้นั่งเดินไปที่เก้าอี้ของคุณอนุชาติ ก้มลงกราบที่เท้าคุณอนุชาติ เมื่อกลับมาที่เก้าอี้นั่งด้วยน้ำตานองหน้า คุณหนุ่ยถามท่านว่า
"ทำไมคุณอนุชาติจึงเชื่อหนุ่ยง่ายเช่นนี้ "
ท่านตอบว่า " ใครที่ทำให้คน ๆ นี้โกรธหรือไม่พอใจถูกฆ่าหมดเมื่อเขาได้เป็นใหญ่ ที่ธนาคาร ฯ ก็โดนกันไปหลายคนแต่ไม่มีใครโดนหนักเท่าคุณ "

เมื่อคุณหนุ่ยถามว่าต้องทำอย่างไรบ้างกับคดีนี้ คุณอนุชาติบอกว่า คุณหนุ่ยต้องไปพิสูจน์ให้คณะกรรมการของบริษัท ฯ ทราบว่าคุณหนุ่ยบริสุทธิ์

คุณหนุ่ยถามว่า
"แล้วจะให้หนุ่ยทำอย่างไร เอกสารสักชิ้นก็ไม่มี หนุ่ยจะพิสูจน์ให้คณะกรรมการทราบได้อย่างไรว่าที่หนุ่ยเรียนให้คุณอนุช่าติทราบมาทั้งหมดนี้เป็นความจริง "

คุณอนุชาติตอบว่า
"ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เป็นหน้าที่ของคุณเองที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ เริ่มต้นก็ไปหาคุณสันทัสก์สิ เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของบริษัท ฯ "




ในท่ามกลางแสงสว่างที่สาดส่องที่แม้จะเลือนรางเป็นเพียงลำแสงรำไร ๆ แม้จะด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจว่างานนี้มิใช่การเข็นครกขึ้นภูเขา แต่เป็นการเข็นรถถังทั้งคัน แต่อย่างน้อยนั่นก็คือก้าวแรกที่เดินไปสู่ความหวัง คุณหนุ่ยจะพยายามอย่างสุดชีวิตในการพิสูจน์ความจริงเพื่อความบริสุทธิ์ของตนเอง

ในขณะเดียวกันคุณหนุ่ยก็สวดภาวนาอ้อนวอนพระเป็นเจ้าอย่างมีความเชื่อในพระองค์ทุก ๆ วัน ในใจลึก ๆ คุณหนุ่ยมีความรู้สึกว่าพระเจ้าจะช่วยคุณหนุ่ยแน่นอน แต่ด้วยวิธีอย่างไรคุณหนุ่ยมิอาจทราบในตอนนั้น เป็นความเชื่อเต็มร้อยในใจว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงช่วยคุณหนุ่ยให้หลุดพ้นจากคดีนี้แน่นอน เพราะตนเองเป็นคนบริสุทธิ์และถูกใส่ร้าย

คุณสันทัสก์ เกิดสินทรัพย์เป็นนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิชาชีพ เป็นผู้ที่มีจิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรม เมื่อคุณหนุ่ยขอนัดพบก็ตอบรับการนัดพบทันที

( ต่อมาภายหลังคุณสันทัสก์บอกกับคุณหนุ่ยว่า การขอนัดพบนั้นคุณสันทัสก์นึกว่าคุณหนุ่ยขอนัดพบเพื่อ" เกี้ยเซี้ย" เงิน 196 ล้านบาท ซึ่งถ้าคุณหนุ่ยขอ "เกี้ยเซี้ย" สัก 20 % บริษัทฯ ก็ยังจะได้เงินมากอยู่ )




การณ์กลับกลายเป็นว่าคุณหนุ่ยไปร้องขอความเป็นธรรม
เมื่อฟังเรื่องราวจบ คุณสันทัสก์ ก็บอกกับคุณหนุ่ยว่า
"แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องราวคำบอกกล่าวแต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ทางเดียวที่จะมีใครเชื่อคุณหนุ่ยได้คือต้องมีหลักฐานชัดเจนว่า เงินจำนวน 196 ล้านบาทนั้นได้มีการนำเงินเข้าบัญชีบริษัท ฯ "

คุณหนุ่ยตอบไปว่า ทนายความคนเดิมของคุณหนุ่ยได้เรียกร้องขอเอกสารดังกล่าวจากบริษัท ฯ แล้ว แต่ทนายความของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ ได้แถลงต่อศาลว่าเนื่องจากในช่วงวิกฤตนั้นมีการโอนถ่ายหุ้นกัน เกิดความบกพร่องในการจัดเก็บเอกสารประกอบกับกาลเวลาล่วงเลยมาเกิน 10 ปีแล้ว เอกสารต่าง ๆ ได้ถูกทำลายหมดแล้ว

คุณสันทัสก์บอกกับคุณหนุ่ยว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็คงได้แต่รับฟัง
ลูกน้องคนหนึ่งของคุณสันทัสก์ได้พูดขึ้นว่า "ถ้าคุณคิดว่าคุณบริสุทธิ์ก็ไปสู้กันที่ศาล มาหาเราทำไม "




คุณหนุ่ยคิดว่าเดินมาถึงขั้นนี้แล้วจะท้อใจไม่ได้ คุณหนุ่ยเดินถอยหลังไม่ได้ แม้จะเป็นการเข็นรถถังขึ้นภูเขา ถ้าพระเจ้าประทานพละกำลังให้คุณหนุ่ย คุณหนุ่ยจะสามารถเข็นมันขึ้นไปได้ คุณหนุ่ยเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ

คุณหนุ่ยทำจดหมายขอความเป็นธรรมยื่นเรื่องถึงคณะกรรมการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ 2 ครั้ง เป็นจดหมายที่มีเนื้อความหลายหน้า ใช้เวลาในการพิมพ์ถึง 5-6 ชั่วโมงต่อฉบับ เพราะคุณหนุ่ยไม่เคยพิมพ์ดีดภาษาไทยมาก่อนในชีวิต แต่จดหมายของคุณหนุ่ยเป็นเพียงเศษกระดาษสำหรับบรรดากรรมการทั้งหลายของบริษัท ฯ  ไม่มีการตอบรับ ไม่มีการตอบกลับมาเลย

บังเอิญประธานกรรมการของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจในขณะนั้นเป็นเพื่อนกับเพื่อนคุณหนุ่ยผู้ซึ่งให้คำปรึกษาในวันหนีออกจากประเทศไทย เป็นอาจารย์สอนที่ NIDA ด้วยกัน คุณสุรินทร์ ธรรมนิเวศ รับปากจะช่วยพูดกับเพื่อนผู้นี้ให้ แต่คำตอบที่ตอบมาคือ " สุรินทร์ you อย่าไปคบผู้หญิงคนนั้นเลย เขาเป็นคนทุจริตและมีชื่อเสียงไม่ดี "
หัวใจของคุณหนุ่ยบอบช้ำแตกสลายลงอีกครั้งหนึ่ง

คุณหนุ่ยเดินวนไปวนมาในหมู่บ้าน สวดไปร้องไห้ไป
"ข้าแต่พระเป็นเจ้า อูฐน้อยตัวนี้หลังกำลังจะหักแล้ว ได้โปรดเถิด ได้โปรดกรุณาอย่าให้มีเชือกฟางแม้แต่เพียงอีกเส้นเดียวตกลงมาบนหลังของลูก ลูกหลังหักแน่ ๆ เลย "

ยามในหมู่บ้านจะเห็นคุณหนุ่ยเดินวนไปวนมาด้วยน้ำตานองหน้าทุกคืน เนื่องจากคุณหนุ่ยไม่อยากร้องไห้ให้ลูก ๆ เห็น คุณหนุ่ยจะรอจนลูก ๆ หลับหมดแล้วจึงจะออกมาเดินสวดไปร้องไห้ไปเป็นเช่นนี้ทุกคืน

บรรดายามทั้งหลายคงคิดว่าผู้หญิงคนนี้คงถูกสามีทุบตีทุกคืนแน่ จึงออกมาเดินร้องไห้เช่นนี้ทุกคืน



แต่คุณหนุ่ยไม่ยอมละทิ้งความพยายาม ไปรอพบ ดร.ทนง ตั้งแต่ 07.00 น.เช้า ก็ได้รับแต่คำตอบว่าท่านไม่สะดวกให้พบให้กลับไปก่อน

จนวันหนึ่งคุณหนุ่ยทราบว่า คณะกรรมการของบริษัท ฯ จะมีการประชุมกัน จึงไปรอแต่เช้า ไม่มีใครทักทายคุึณหนุ่ยเลยสักคนเดียว เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมทุกคนที่เห็นว่าคุณหนุ่ยยังรอรออยู่ ต่างพากันเลี่ยงเดินไปอีกทางหนึ่ง
คุณหนุ่ยกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายเป็นตัวอักษรได้ คุณหนุ่ยซึ่งครั้งหนึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ฯ นี้ เดินไปทางไหนลูกน้องก็หลบตัวลีบให้ มาวันนี้สภาพของคุณหนุ่ยไม่ต่างจากสุนัขข้างถนนที่ีมีแต่คนรังเกียจและเดินหลีกไปให้พ้น

แต่คุณหนุ่ยก็ไม่ยอมท้อ เพราะถ้าท้อแท้เมื่อไรคุณหนุ่ยจะหมดสภาพและสลายกลายเป็นผงธุลีไปทันที ถ้าถามว่าคุณหนุ่ยอายไหม คุณหนุ่ยตอบตัวเองว่า ไม่อายเพราะคุณหนุ่ยไม่ได้ทำอะไรผิด

คุณหนุ่ยยังคงมีความอดทนกัดฟันบากหน้าไปขอพบคนโน้นคนนี้โดยไม่มีใครยอมให้พบสักคน
จนถึงวันที่ 17 มกราคม พ.ศ 2537 (ค.ศ.1994)



ในตอนเช้าตรู่คุณหนุ่ยได้ฝันไปว่า คุณหนุ่ยเพิ่งตายและมีคนกำลังจะเอาดอกบัวใส่มือคุณหนุ่ยในท่าพนมมือ วิญญาณที่ลอยออกจากร่างกำลังรำพึงว่า

 " อีกไม่กี่วินาทีฉันก็จะดับสูญ ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันได้เกิดมาเป็นลูกของอานีกับอาชาเจ็ก ( คุณแม่คุณพ่อ ) ขอพระองค์โปรดรับฉันไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์เถิด "

แล้ววิญญาณของคุณหนุ่ยก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าผ่านดวงดาวที่ระยิบระยับหายไปในความมืด

คุณหนุ่ยตกใจตื่นขึ้นมา ความรู้สึกที่คงค้างอยู่ในใจเป็นความรู้สึกที่สงบและดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกภิรมย์ยินดีเสียด้วยซ้ำไป

ถ้าความตายเป็นเช่นนี้ความรู้สึกนี้ ความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นสิ่งน่าอภิรมย์อย่างยิ่ง



เช้าวันนั้นคุณหนุ่ยตัดสินใจไปพบคุณสันทัสก์อีก เตรียมเขียนโน๊ตไปด้วยเพราะถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบจะได้ฝากข้อความที่เตรียมไปให้เลขาหน้าห้อง และก็เป็นไปตามที่คาดไว้จริง ๆ เลขาหน้าห้องบอกว่านายของตนกำลังจะเข้าประชุมภายใน 10 นาทีนี้ คราวนี้คุณหนุ่ยยอมเสียมารยาทเดินฝ่าเลขา ฯหน้าห้องเข้่าไปในห้องของคุณสันทัสก์

คุณสันทัสก์บอกคุณหนุ่ยทันทีที่คุณหนุ่ยพรวดพราดเข้าไปในห้องทำงานว่า
" ขอโทษครับ ผมกำลังจะเข้าประชุมภายใน 10 นาทีนี้แล้วครับ"

คุณหนุ่ยตอบไปว่า "ถ้าเช่นนั้นพี่ขอเวลาไม่เกิน 5 นาทีก็แล้วกัน"
แล้วยื่นแผ่นกระดาษที่เตรียมไว้ให้ ซึ่งเป็นข้อความที่ขอให้เขาไปค้นเอกสารสลิป Pay in ของบริษัท ฯ เข้าบัญชีของธนาคารกรุงไทยในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2522 (ค.ศ.1979) ซึ่งคุณหนุ่ยจำได้แม่นยำว่าเป็นเดือนที่คุณหนุ่ยนำเงิน 196 ล้านบาท เข้าฝากธนาคารเพื่อเตรียมไว้ให้ลูกค้าเงินฝากถอนเงิน

คุณสันทัสก์ส่ายหน้าพลางบอกว่า " มัน 10 กว่าปีแล้วนะครับพี่ เอกสารทั้งหมดน่าจะถูกทำลายหมดไม่มีเหลือแล้ว"

ทันใดนั้นคุณหนุ่ยก็โพล่งคำพูดออกไปโดยไม่ได้คิดหรือตระเตรียมคาดการไว้ก่อนเลยว่
"พี่มีความมั่นใจว่าเอกสารยังอยู่ ขออนุญาตพี่ไปค้นเองได้ไหม"

คุณหนุ่ยก็ยัง งง งง ว่าพูดอย่างนั้นออกไปได้อย่างไร ในฐานะจำเลยคุณหนุ่ยกำลังขออนุญาตโจทก์เข้าไปค้นเอกสารเอง

แต่คุณสันทัสก์ตอบเพียงคำพูดว่า
 " มันลำบากนะพี่ "

คุณหนุ่ยจึงพูดต่อว่า
" ไม่ลำบากสำหรับพี่ค่ะ ได้โปรดเถอะพี่มั่นใจว่าเอกสารยังอยู่ ขณะนี้โกดังเก็บเอกสารของบริษัท ฯ อยู่ที่ไหนล่ะ "

มีคำตอบจากคุณสันทัสก์ว่า " มี สองที่คือที่บางนาและบางซ่อน "
คุณหนุ่ยถามต่อไปว่า " มันต่างกันตรงไหนคะ"




จึงได้ข้อมูลว่า ที่บางนาเป็นสถานที่บริษัทเช่า ส่วนที่บางซ่อนเป็นที่เก็บเอกสารของธนาคารทหารไทย และมีห้องเก็บของสร้างพิเศษสำหรับนวธนกิจ
"พี่ขอไปแห่งหลังนี่แหละ" คุณหนุ่ยเลือก
คุณสันทัสก์ "เอาอย่างนั้นหรือ"
คุณหนุ่ย " ได้โปรดเถอะ พี่ขอร้อง "
คุณสันทัสก์มองหน้าคุณหนุ่ยเพื่อค้นหาความมั่นใจจากดวงตาของคุณหนุ่ย พลางบอกว่า
"งั้นก็ได้"

คุณหนุ่ยแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้รับคำตอบนี้ถามต่อไปว่า
"ไปวันเสาร์นี้เลยได้ไหม "
คุณสันทัสก์บอกว่า
" ถ้าจะไปผมว่าไปตอนนี้เลยจะดีกว่า เป็นเวลาทำงานตามปกติจะได้ไม่มีคนสงสัย อีกอย่างหนึ่งพี่ศรีเป็นคนดูแลเก็บกุญแจโกดัง ผมจะให้พี่ศรีคุมทีมไป ผมจะให้มีผู้แทนจากฝ่ายกฎหมาย บัญชี Admin ฯลฯ
ทั้งหมด 5 คน




ประกายแสง....แห่งรัศมีดารา

คุณสมศรี หลิมตระกูล เป็นลูกน้องเก่าแก่ตั้งแต่ตอนที่คุณหนุ่ยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ดำรงตำแหน่ง แคชเชียร์ในเวลานั้น แต่ปัจจุบันก็เติบโตในหน้าที่การงาน เป็นระดับ VP ของบริษัท
คุณสมศรีผู้นี้เป็นลูกน้องคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าคุณหนุ่ยกระทำการทุจริต แต่คุณสมศรีก็รับฟังมาตลอด 10 กว่าปีถึงเรื่องราวการทำทุจริตและความไม่ดี ต่าง ๆ ของคุณหนุ่ย มาจนวันนี้คุณสมศรีจึงพร้อมเต็มที่ในการให้โอกาสที่คุณหนุ่ยจะได้พิสูจน์ตัวเอง

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คณะในทีมไปตรวจค้นเอกสารก็พร้อมกันได้หมด คุณหนุ่ยตื่นเต้นมากในใจสวดภาวนาขอพระช่วยตลอดเวลา

ระหว่างการเดินทางคุณหนุ่ยไม่อยากให้บรรยากาศตึงเครียดจึงเล่าเรื่องที่เกิดในประเทศออสเตรเลียว่า

มีสามีภรรยาคู่หนึ่งพาลูก ๆ ไปเที่ยวในพาร์คแห่งหนึ่งในคืนนั้นลูกน้อยคนที่ยังเป็นทารกได้หายไปจากห้องพัก ผู้เป็นแม่เห็นสุนัขดิงโก้ซึ่งมีลักษณะคล้ายสุนัขจิ้งจอกวิ่งแวบออกไปออกไปจากห้ิองในท่ามกลางความมืด ในปากสุนัขเหมือนกับคาบอะไรสักอย่าง ต่อมาการณ์กลับกลายเป็นว่าแม่ซึ่งเป็นมารดาแท้ ๆ ของเด็กทารกผู้เคราะห์ร้ายกลับถูกกล่าวหาว่าฆ่าลูกน้อยของเธอเองถูกศาลตันสินจำคุก เธอต้องทนทุกข์ทรมานในคุกถึง 3 ปีกว่า จนกระทั่งวันหนึ่งมีนักท่องเที่ยวชายคนหนึ่งพลัดตกเขาและถูกสุนัขดิงโก้รุมทึ้งจนเสียชีวิตอยู่ที่เชิงเขานั้น เมื่อตำรวจไปชันสูตรศพชายคนนี้ก็พบเสื้อแจคเก็ตตัวเล็ก ๆ ของทารกผู้เคราะห์ร้ายนั้น อยู่ปะปนอยู่กับกระดูกกองน้อย ๆ ซึ่งผู้เป็นมารดาได้บอกให้ตำรวจและัผู้สอบสวนมาตลอดให้ค้นหาให้เจอแต่ไม่มีใครรับฟังเธอเลย

คุณหนุ่ยบอกกับคุณสมศรีว่า " เรากำลังไปหาแจ๊กเก็ตตัวนั้นกันนะศรี"




ห้องเก็บเอกสารเป็นห้องห้องหนึ่งในโกดังใหญ่ ที่หน้ารั้วมี สห.เฝ้าอยู่และที่หน้าห้องก็มีตำรวจเฝ้าอยู่อีกชั้นหนึ่ง
ไม่ถึงครึ่งชัวโมงคุณหนุ่ยและคุณสมศรีก็สามารถหาสลิปใบ Pay in ที่สามารถปลดล็อคโซ่ชีวิตของคุณหนุ่ย ผิดแต่ว่าเป็น สลิป pay in ของธนาคารกรุงเทพสาขาสยามแสควร์มิใช่ธนาคารกรุงไทย คุณหนุ่ยและคุณสมศรีกอดกันและกระโดดด้วยความตื่นเต้นและยินดี

คุณหนุ่ยน้ำตาไหลด้วยความดีใจ บอกกับคุณสมศรีว่า " ฉันเจอแจ๊ดเก็ตแล้วศรี"

Pay in รายการนี้คุณหนุ่ยยื่นขอไปที่ศาลหลายครั้งแต่ก็ได้รับคำตอบว่าเอกสารทั้งหมดถูกทำลายไปหมดแล้วเพราะเกินเวลา 10 ปี แล้ว
คุณสมศรีบอกกับคุณหนุ่ยว่า เป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่จริงแล้วท่านได้สั่งให้คุณสมศรีทำลายเอกสารพวกนี้นานแล้ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ ทำให้คุณสมศรีไม่กล้าทำลาย ทั้ง ๆ ที่คุณสมศรีก็ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ในกล่องเก็บเอกสารและมีึความสำคัญอย่างไร แต่คุณสมศรีก็เรียนท่านคนนั้นว่าทำลายเอกสารไปหมดแล้วตามคำสั่ง มาจนวันนี้ที่คุณสมศรีรู้สึกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ



คุณหนุ่ยและคณะกรรมการที่ไปตรวจค้นหาเอกสาร กลับไปที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจเวลา 18.30 น.คุณสันทัสก์ก็ยังรอคณะตรวจค้นหาเอกสารอยู่ที่บริษัท
คุณหนุ่ยบอกกับคุณสันทัสก์ว่า
" พี่ไม่ทราบจะขอบคุณคุฯสันทัสก์อย่างไรดี " และยื่นเอกสารให้

เมื่อถามว่าเหตุใดคุณสันทัสก์จึงยอมให้คุณหนุ่ยไปค้นเอกสารในโกดังเอง
คุณสันทัสก์ตอบว่า มี 2 เหตุผล คือ คิดว่าอย่างไรเสียคุณหนุ่ยก็ไม่มีทางหาเอกสารพบ และคุณหนุ่ยจะได้ไม่มากวนคุณสันทัสก์อีก และมีอีกสาเหตุคือคุณสันทัสก์ได้ไปเช็คสอบคำบอกเล่าของคุณหนุ่ยที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ พบว่าคำพูดของคุณหนุ่ยเป็นความจริงหมดจึงแอบคิดในใจว่า ถ้าที่คุณหนุ่ยพูดความจริงว่าไม่ได้ทุจริต แล้วบริษัท ฯ กำลังทำอะไรอยู่

นี่คือคำพูดของผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของบริษัท ฯ ที่เป็นโจทก์ฟ้้องคุณหนุ่ยในข้อหาฉ้อโกงและยักยอกเงินของบริษัทเป็นเงิน 196 ล้านบาท

คุณสันทัสก์ไ้ด้โทรศัพท์ไปหาทนายความที่เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องคุณหนุ่ยและเคยเป็นลูกน้องเก่าของคุณหนุ่ย ทนายความบอกว่า Pay in นำเงินเข้าบัญชี 196 ล้านบาทนี้ยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าคุณหนุ่ยเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาต้องการหลักฐานยืนยันว่าเงินจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้า 10 กว่ารายที่บริษัทฟ้องอย่างไร




เมื่อคุณหนุ่ยถามคุณสมศรีว่า ยังมีเอกสารในยุคช่วงเวลาของคุณหนุ่ยหลงเหลืออีกบ้างไหม คุณสมศรีจึงสอบถาม คุณวีณาที่เคยเป็นลูกน้องคุณหนุ่ยอีกคนหนึ่งเช่นกัน

คุณวีณาผู้ซึ่งไม่ยอมไปให้การกับศาลตามข้อความที่มีการจัดเตรียมไว้ (ซึ่งเป็นเท็จ) เลยไม่มีโอกาสได้เติบโตในหน้าที่การงาน ยังคงอยู่ในตำแหน่งงานเดิม มา 10 กว่าปี
คุณวีณาบอกว่ายังมีลังเอกสารอีก 2 ลังที่เก็บไว้ตั้งแต่ครั้งคุณหนุ่ยยังอยู่ในบริษัท แต่เมื่อตรวจดูแฟ้มทุกแฟ้มจนหมดแล้ว ไม่ปรากฎมีเอกสารที่จะเป็นประโยชน์กับตัวคุณหนุ่ยเลย


คุณหนุ่ยซึ่งขณะนั้นมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจว่า
"พระเจ้าทรงช่วยฉันถึงขั้นนี้แล้วฉันมั่นใจว่พระองค์จะทรงช่วยฉันจนถึงที่สุด "

และถามคุณสมศรีว่า ในตู้เซพของบริษัท ฯ มีแฟ้มในยุคคุณหนุ่ยเองเหลืออยู่บ้างไหม เป็นคำถามที่คุณหนุ่ยก็ไม่ทราบว่าทำไมใจจึงคิดไปถึงตู้เซพของบริษัท ฯ ขึ้นมาได้

คุณสมศรีตอบว่า จำได้ว่ามีแฟ้มอะไรปึกหนึ่งวางอยู่มุมห้องเซพตั้งนานแล้ว และไปหยิบแฟ้มนั้นมา
ทุกคนตื่นเต้นแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองแฟ้มปึกที่คุณสมศรีหยิบมานี้คือแฟ้มประวัติของลูกค้า 10 กว่าราย และมีรายละเอียดการนำใบหุ้นไปจำนำกับธนาคารกรุงไทย ฯลฯ ครบถ้วนตามที่คุณมนูญทนายความของบริษัท ฯ แจ้งกับคุณสันทัสก์



ตลอดเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจมีการย้ายที่ทำการ 3 ครั้ง 3 สถานที่ แฟ้มทั้งหมดหลายแฟ้มเหล่านี้ก็ถูกย้ายและถูกเก็บไว้ในห้องเซพใหม่ทุกที่เช่นกัน โดยไม่มีใครสนใจและทราบเลยว่าแฟ้มเหล่านี้มีความหมายขนาดไหนกับชีวิตของนายเก่าของบริษัท ฯ พวกเขา

คุณหนุ่ยถามคุณสันทัสก์ว่า
"พี่ขอถ่ายเอกสารทั้งหมดเพื่อนำไปเสนอต่อศาลได้ไหม พี่แน่ใจว่าเมื่อศาลเห็นเอกสารทั้งหมดต้องพิพากษาให้พี่ชนะคดี เอกสารเหล่านี้พี่ได้ขอผ่านทนายความมาโดยตลอด แต่ทนายของบริษัท ฯได้แจ้งกับศาลว่าเอกสารของบริษัท ฯในยุคพี่ได้ถูกทำลายไปหมดแล้วเพราะมันเกิน เวลา10 ปี นี่ก็เท่ากับว่าทนายความของบริษัท ฯ ให้การเป็นเท็จต่อศาลใช่ไหม "

คุณสันทัสก์พยักหน้าช้า ๆและตอบว่า
" ไม่เพียงแต่ทนายความของบริษัท ฯ จะโดนข้อหารายงานเท็จเท่านั้น แม้แต่กรรมการบริษัท ฯ เองก็ต้องติดคุกในข้อหาฟ้องเท็จด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ที่สั่งฟ้องพี่ เพราะเขาลงนามคู่กับพี่ในการไปกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย แต่กลับสั่งให้ดำเนินคดีกับพี่่ในฐานฉ้อโกงบริษัทฯ



คณะกรรมการของบริษัท ฯ ทราบด้วยความตกใจหลังจากมีความเชื่อมาตลอดว่าคุณหนุ่ยเป็นคนทุจริต มาบัดนี้เรื่องกระจ่างชัดแล้วว่าคุณหนุ่ยเป็นผู้บริสุทธิ์และถูกใส่ร้าย มิเพียงเท่านั้น บริษัท ฯ ได้ตอบแทนการเสียสละส่วนตัวของคุณหนุ่ยที่ยอมเสียอนาคตของตนเองเพื่อบริษัทและลูกค้าที่ฝากเงิน ด้วยการทำลายชีวิตคุณหนุ่ยในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา

มีกรรมการท่านหนึ่งพูดว่า " เราถูกยืมมือให้ฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งเสียแล้ว "

คณะกรรมการของบริษัท ฯ ได้ลงมติให้ถอนฟ้องคุณหนุ่ยเป็นการด่วนและมอบหมายให้คุณสันทัสก์ มาเจรจากับคุณหนุ่ยไม่ให้คุณหนุ่ยฟ้องกลับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจและคณะกรรมการของบริษัท ฯ

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2537 (ค.ศ 1994) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจทำคำร้องยื่นต่อศาลเพื่อขอถอนฟ้องคุณหนุ่ย

ทันที่ที่ศาลได้รับคำร้องดังกล่าวเป็นการยุติคดีอย่างสมบูรณ์
เจ้าหน้าที่ศาลซึ่งเป็นผู้พิมพ์คำให้การของลูกน้องเก่าที่ให้การฉอด ๆ เป็นฉาก ๆ ตามคำให้การที่จัดเตรียมไว้ของทนายความของบริษัท ฯ มาโดยตลอด ได้บอกกับคุณหนุ่ยว่า
"พี่น่าจะฟ้องคนที่ให้การเท็จมาตลอดด้วยนะ"
เจ้าหน้าที่ศาลคงคิดว่าอย่างไรเสียคุณหนุ่ยคงฟ้องกลับบริษัท ฯ และคณะกรรมการเพื่อเรียกร้องความเสียหายอย่างแน่นอน และเขาอยากให้คุณหนุ่ยลงโทษลูกน้องเก่าที่ทรยศให้ร้ายคุณหนุ่ยในศาลมาตลอด




ตุณหนุ่ยไปเข้าห้องน้ำจึงได้พบลูกน้องเก่าคนนั้นยืนร้องไห้อยู่ที่หน้ากระจก
เธอบอกคุณหนุ่ยว่า
"พี่หนุ่ย หนูขอโทษที่หนูต้องทำมาทั้งหมดเพราะหนูมีครอบครัว มีลูก 2 คน หากไม่ทำตามคำสั่งหนูก็ไม่ได้ขึ้นตำแหน่ง " เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก
คุณหนุ่ยไม่ทราบว่าเธอร้องไห้เสียใจต่อการกระทำของเธอ หรือเพิ่งเกิดความอับอายต่อการกระทำผิดบาปหรือกลัวคุณหนุ่ยจะด่าเธอหรือตบหน้าเธอ
คุณหนุ่ยบอกเธอว่า "ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้องไห้ ทุกอย่างมันจบแล้วและพี่ก็ให้อภัยเธอแล้ว " คุณหนุ่ยยิ้มและพยักหน้ากับเธอคนนั้นเดินออกจากห้องน้ำลืมธุระที่ตั้งใจมาห้องน้ำตั้งแต่แรก


ก่อนออกจากเขตของศาล คุณหนุ่ยก้มลงกราบธรณีศาลเป็นการลาและอธิษฐานในใจว่า
" นี่เป็นการลาครั้งสุดท้าย ชีวิตนี้จะไม่ขอมาเหยียบศาลอีก "

เมื่อขึ้นมานั่งบนรถ คุณหนุ่ยร้องไห้น้ำตาไหลพรากอาบแก้มตลอดทางจนถึงบ้าน แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังหลั่งสายฝนโปรยปรายลงมาตลอดเช้าวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2537 (ค.ศ.1994)



คดีได้สิ้นสุดลงแล้ว จากวันที่ลาออกจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจจนถึงวันที่คดีสิ้นสุดเป็นระยะเวลา 14 ปี เป็นช่วงเวลาที่คุณหนุ่ยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ต้องต่อสู้ด้วยตัวเองในทุกวิถีทางท่ามกลางความมืดมิดและหมดหวังจนคิดฆ่าตัวตายในคืนวันคริสต์มาสและผ่านพ้นคืนวันนั้นมาด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า และไม่เคยคิดฆ่าตัวตายอีก คุณหนุ่ยบอกตัวเองว่าจะตายไม่ได้เพราะถ้าตายไปก่อนที่จะพิสูจน์ความจริงได้ชื่อเสียงที่เสื่อมเสียไปแล้วจะตกทอดไปถึงลูกหลาน

เป้าหมายในชีวิตของคุณหนุ่ยคือการพิสูจน์ตัวเอง จิตใจคุณหนุ่ยเต็มไปด้วยพลังของนักสู้ เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงคุณหนุ่ยได้ความเป็นธรรมกลับมา
แต่จริงละหรือว่าคุณหนุ่ยได้รับความเป็นธรรมแล้ว ชื่อเสียงของคุณหนุ่ยถูกทำลายย่อยยับ ผู้คนในสังคมรับรู้ว่าคุณหนุ่ยถูกฟ้องในข้อหาฉ้อโกงและยักยอกเงินของบริษัท ฯ และคุณหนุ่ยหายตัวไปจากเมืองไทย เรื่องจบลงที่บริษัท ฯ ถอนฟ้องคุณหนุ่ย เป็นการจบเรื่องที่ง่าย ๆ และเงียบ ๆ ไม่มีผู้คนในสังคมรู้เรื่องนอกจากคณะกรรมการของบริษัทและตัวคุณหนุ่ยเอง

ครอบครัวและญาติพี่น้องคุณหนุ่ย ต่างพากันบอกคุณหนุ่ยว่าอย่าไปฟังคำขอร้องของคุณสันทัสก์ที่จะไม่ฟ้องกลับบริษัท ฯ แต่ควรฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายชดเชยชีวิตที่ยากลำบาก ชื่อเสียงเกียรติยศที่ถูกทำลายไปหมดสิ้น ในขณะนั้นบริษัท ฯ มีสินทรัพย์รวม ห้าหมื่นกว่าล้านบาท และตัวคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องก็คงไม่อยากติดคุก

คุณหนุ่ยก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ความทุกข์ทรมานอย่างลึกล้ำเกิดขึ้นโดยไม่ได้ทำอะไรผิดเลย และบัดนี้ฐานะการเงินของคุณหนุ่ยในขณะยุติคดีเป็นเส้นกราฟที่เป็นเส้นตรงในแนวราบเหมือนกราฟหัวใจคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้นไปแล้ว คุณหนุ่ยควรแก้แค้นเพื่อเอาชื่อเสียงที่ถูกทำลายกลับคืนมา และการชดเชยความสูญเสียทางการเงินในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา



แต่ในคืนวันคริสต์มาสที่คุณหนุ่ยได้ให้อภัยพวกเขาทั้งหมดไปแล้ว เพราะพระหรรษทานของพระเจ้าที่คุณหนุ่ยได้สัมผัสก่อนที่จะให้อภัยได้ คุณหนุ่ยเองต้องสวดภาวนาขอให้พระประทานพร พลังใจในการให้อภัยพวกเขา หากคุณหนุ่ยยฟ้องกลับพวกเขาคุณหนุ่ยมิผิดต่อพระเจ้าละหรือ

คุณหนุ่ยไตร่ตรองอยู่หลายวันจนสรุปผลกับตนเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสนั้น ยิ่งใหญ่และมีค่ากับคุณหนุ่ยมากกว่าจำนวนเงินกี่ร้อยล้านก็ตามที่จะได้รับจากการฟ้องร้องคดี จึงตัดสินไม่ฟ้องกลับใคร ๆ ทั้งสิ้น ดูจะเป็นเรื่องโง่งี่เง่าที่สุดสำหรับการเป็นนักธุรกิจ แต่สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในพระเจ้าเท่าคุณหนุ่ยในเวลานั้น นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด คุณหนุ่ยบอกกับครอบครัวและญาติ ๆว่า
 "มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับพระเจ้า พวกเธอไม่เข้าใจ "

แต่การไม่ฟ้องกลับนี้มิได้ทำให้คณะักรรมการของบริษัทฯ ซาบซึ้งสำนึกในความมีคุณธรรมของคุณหนุ่ย คุณหนุ่ยขอให้บริษัทฯ ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น ก็อิดออดมาตลอด คุณหนุ่ยขอให้บริษัทฯ ทำจดหมายแจ้งความบริสุทธิ์ของคุณหนุ่ยไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็เช่นกันโดยมีคำตอบว่าต้องรอให้คณะกรรมการบริษัท ฯ พิจารณาถึงผลกระทบทุก ๆ ด้านก่อน

ทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้คุณหนุ่ยก็จะคิดถึงพระเจ้าและการใหอภัยของตนเองแล้วก็จะบอกกับตัวเองว่า
"พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะละเมิดคำสัญญากับพระองค์ได้ "

ต่อมาเพื่อนคนหนึ่งคือคุณปิยะพงศ์ กณิกนันต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อีกแห่งหนึ่งมีความเห็นอกเห็นใจคุณหนุ่ยและพาคุณหนุ่ยไปพบ คุณจรุง หนูขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คุณหนุ่ยได้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งสำเนาการถอนฟ้องคดีของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจไปให้ดูเป็นหลักฐาน จุุดประสงค์เพื่อให้ท่านปลดชื่อคุณหนุ่ยออกจากบัญชีดำ หรือ blacklist เพื่อให้เกียรติประวัติของคุณหนุ่ยกลับมบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากมลทินเช่นที่ผ่านมา

ซึ่งคุณจรุงได้บอกกับคุณหนุ่ยว่าชื่อของคุณหนุ่ยไม่เคยติดอยู่ในบัญชีดำของทางการเลย เพราะผู้ฟ้องมิใช่ทางการ เช่นธนาคารแห่งประเทศไทยหรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่เป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของเอกชนกันเอง ชื่อเสียงที่เสียไปไม่ได้เป็นประวัติด่างพร้อยของทางการแต่อย่างใด คุณจรุงได้แสดงความยินดีกับคุณหนุ่ยที่เรื่องราวจบลงอย่างใสสะอาด และสนับสนุนให้คุณหนุ่ยกลับเข้าวงการธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์อีกครั้งหนึ่งว่า
" วงการยังต้องการคนดีมีฝีมืออย่างคุณศรินทรนะ ผมอยากให้กลับมาอีก "

ทุกอย่างจบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว คดีก็จบแล้ว ชื่อเสียง (อย่างเป็นทางการ) ก็คืนกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว และควบคู่กับทุกทุกอย่างที่ได้จบลงอย่างสมบูรณ์




ดวงจันทร์อันถูกเมฆบัง


ในขณะที่ตกระกำลำบากอยู่ต่างแดน คุณหนุ่ยมีเป้าหมายในชีวิตที่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง บัดนี้คุณหนุ่ยก็ก้าวมาถึงหลักชัยของเป้าหมายนั้นแล้ว ในขณะนั้นเพืื่อนฝูงผู้บริหารในยุคเดียวกับคุณหนุ่ย ต่างเจริญเติบโตก้าวหน้าในการงาน บ้างก็เป็นประธานกรรมการของบริษัทต่าง ๆ บ้างก็กลายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีรวยหุ้นไปแล้ว แต่ตัวคุณหนุ่ยเองเป็นเพียงสตรีที่โลกลืม ชื่อเสียงเกียรติยศในวงสังคมพังทลายไปหมดสิ้น เพราะคดีได้จบลงโดยไม่มีผู้คนในประเทศไทยได้รับทราบเลย

เพื่อนฝูงผู้คนในสังคมที่ครั้งหนึ่งคุณหนุ่ยเคยรู้จักกันเกือบค่อนกรุงเทพฯ ต่างตีจากและลืมเลือนเพื่อนอย่างคุณหนุ่ยไปเกือบหมดแล้ว คุณหนุ่ยกลายเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจและเหยียดหยาม
คุณหนุ่ยไม่สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ของแวดวงธุรกิจได้ เพราะทุกอย่างบนหนังสือพิมพ์เหล่านั้นมันหลอนดวงใจของคุณหนุ่ย

ในความว่างเปล่าของชีวิต คุณหนุ่ยได้แต่สงสารและสมเพชเวทนาตัวเอง ถามตัวเองว่า
"ทำไมจึงเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ฉันทำอะไรผิดหรือ ทำไมฉันถูกลงโทษในสิ่งที่ฉันทำดี มันยุติธรรมแล้วหรือ ทำไม ทำไม และทำไม"

ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งคิดยิ่งร้องไห้ คุณหนุ่ยคิดได้ ถามได้ แต่ไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง




แต่ในท่ามกลางความทุกข์ทรมานความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่งยวด คุณหนุ่ยไม่เคยโทษพระเจ้าเลยสักครั้งเดียว ความทุกข์ที่ได้รับอยู่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกัน ในขณะที่พระเจ้าได้ทรงช่วยคุณหนุ่ยมาโดยตลอด คุณหนุ่ยเป็นเชลยสงครามชีวิต ความโหดร้ายทารุณที่เกิดกับชีวิตได้ผ่านไปแล้ว คดีก็จบลงแล้วแต่คุณหนุ่ยยังคงถามตัวเองเกือบทุกวันว่า
" ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปเพืออะไรกัน"

ในขณะที่เพื่อน ๆ นักธุรกิจคนอื่น ๆ กำลังก้าวหน้าต่อไปอย่างสมบูรณ์พูนสุข แต่คุณหนุ่ยเองอยู่ในสภาพที่น่าเอน็จอนาถและเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเช่นนี้ ทุกคืนก่อนนอนคุณหนุ่ยมีความหวังว่าพรุ่งนี้จะไม่ต้องตื่นขึ้นมา ทำอย่างไรจึงจะหลับใหลไปโดยไม่ต้องตื่นขึ้นมาได้

ต่อมาคุณหนุ่ยได้ช่วยสามีทำธุรกิจ สามีของคุณหนุ่ยเป็นวิศวกรทำงานเกี่ยวกับบริษัทจำหน่ายสินค้าด้านอุตสาหกรรม




เมื่อเริ่มพร้อมที่จะทำงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้จะไม่มีพื้นฐานทั้งการศึกษาหรือประสบการณ์กับงานด้านต่าง ๆ ของสามีเลย แม้จะเหนื่อยยากสักเพียงใดแต่คุณหนุ่ยก็ทุ่มเททั้งพลังกายพลังใจ จนคุณหนุ่ยได้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งบนถนนศรีนครินทร์ซึ่งเพิ่งเริ่มตัดถนนใหม่ ๆ และเรื่มต้นทำธุรกิจตามความใฝ่ฝันของสามี ผ่านการเริ่มต้นใหม่ ขยายธุรกิจใหม่ ๆ จนสา่มารถเริ่มธุรกิจใหม่คือเปิดโรงงานผลิตฉากกั้นอาบน้ำ /ตู้อาบน้ำใช้ชื่อสินค้าว่า "SHOWERKING" ซึ่งเป็นฉากกั้นอาบน้ำ/ตู้อาบน้ำ บุกเบิกใหม่ในประเทศไทย ในขณะที่ธุรกิจกำลังจะไปรุ่ง ก็เกิดภาวะต้มยำกุ้งกับเศรษฐกิจไทย ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังตึงเครียดและคุณหนุ่ยได้รับผลกระทบมาก แม้จะยอมลดเงินเดือนตัวคุณหนุ่ยเองรวมทั้งระดับผู้บริหารทุกคนลงจากที่ได้รับอยู่ แต่ยังคงเงินเดือนของคนงานและพนักงานระดับล่างไว้ พนักงานคนใดทนไม่ได้อยากลาออกก็ปล่อยพวกเขาไป

เพราะธุรกิจของคุณหนุ่ยทั้งสองบริษัทต้องนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้เพิ่มค่าเงินบาทในการแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นทุกวันจากเดิมเงินบาท 25 บาท แลกเปลี่ยนได้หนึ่งดอลล่าร์สหรัฐ ฯ

ในช่วงภาวะเศรษฐิจที่เกิดกระแสรุนแรงเป็นระดับพายุเศรษฐกิจของชาตินี้ สามีคุณหนุ่ยก็ทิ้งครอบครัวไป ปล่อยให้คุณหนุ่ยดูแลลูก ๆ 4 คน และบริษัท ตามลำพัง ทั้งโดดเดี่ยวเดียวดาย อ้างว้างและว้าเหว่ยิ่งนัก

หมายเหตุ
แต่ละบริษัทหรือหน่วยงานต่าง ๆ ต่างมีระเบียบการจัดเก็บเอกสารและการทำลายเอกสาร ซึ่งจะมีรายละเอียดแต่ละประเภทของเอกสารว่าเก็บอย่างไร ทำลายได้เมื่อไร
สำหรับวงการการเงินหากเป็น สลิป Pay in (ใบรับฝาก ) หรือรายการถอนเงินในบัญชี หากเกินกำหนด 10 ปี ระเบียบจะให้ทำลายเอกสารทิ้ง
แต่สำหรับรายการเปิดบัญชีต่าง ๆ ของลูกค้า เก็บไว้จนกว่าลูกค้าจะปิดบัญชี แล้วจะมีรายละเอียดด้านใบเปิดบัญชีที่มีการปืิดบัญชีไปแล้วอีกระเบียบหนึ่งสำหรับการทำลายเอกสาร


ดิงโก
ดิงโก (อังกฤษ: Dingo; ชื่อวิทยาศาสตร์: Canis lupus dingo) เป็นสุนัขป่าชนิดหนึ่ง พบได้เฉพาะที่ออสเตรเลียเท่านั้น ดิงโกเป็นสุนัขป่าเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายสุนัขบ้านมากที่สุด จึงสันนิษฐานว่าบรรพบุรุษของดิงโก สืบเชื้อสายมาจากสุนัขบ้านจากเอเชียอาคเนย์ (รวมถึงประเทศไทยด้วย) โดยเข้ามาอยู่ในออสเตรเลียเมื่อราว 3,000-4,000 ปีก่อน ดิงโกจัดเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นในวงศ์สุนัข (Canidae) ที่พบในออสเตรเลีย

ดิงโกเป็นสุนัขป่าขนสั้น หางเป็นพวง สีขนมีหลากหลายมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ในบางตัวอาจมีสีเทาหรือแดง แม้กระทั่งขาวล้วนหรือดำล้วนก็มี มีอุปนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ มีนิสัยดุร้ายและปราดเปรียวมาก แม้พื้นที่ ๆ อาศัยอยู่จะเป็นทะเลทรายหรือที่ราบกว้างใหญ่ แต่ดิงโกก็สามารถป่ายปีนก้อนหินหรือหน้าผาได้อย่างคล่องแคล่ว
ดิงโกจัดเป็นสัตว์อันตรายชนิดหนึ่งในออสเตรเลีย โดยจะโจมตีใส่สัตว์เลี้ยงของมนุษย์เช่น แกะ หรือ ม้า ได้ แม้กระทั่งโจมตีใส่มนุษย์และทำร้ายจนถึงแก่ความตายได้ด้วย
ดิงโกเป็นสุนัขที่ไม่เชื่อง ดังนั้น จึงตกเป็นสัตว์ที่ถูกล่าในศตวรรษที่ผ่านมา
ปัจจุบัน ดิงโก มีสถานะที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ ในทางตอนใต้และตะวันออกของออสเตรเลีย มีการแบ่งเขตเป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ดิงโก เพื่อไม่ให้ดิงโกเข้ามาปะปนกับมนุษย์หรือสัตว์ชนิดอื่น โดยกั้นเป็นรั้วยาวกว่าครึ่งของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจัดเป็นแนวรั้วที่ยาวที่สุดในโลก

ขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

สำหรับภาพประกอบบทความ
ขอขอบคุณภาพนก จากเรือนลำพูรีสอร์ท
ขอขอบคุณและกราบขออภัยท่านเจ้าของภาพอื่น ๆ ที่คัดลอกมาจาก internet และ save เก็บไว้นานหลายปีแล้วซึ่งค้นหาที่มาของภาพไม่พบแล้ว