วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ฃีวิตจริงที่ยิ่งกว่าบทประพันธ์ 4 ของศรินทร
มาลีที่โรยรา นางฟ้าตกสวรรค์...
เมื่อหมดสิ้นภาระกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจแล้วคุณหนุ่ยตั้งใจออกนอกวงการการเงินและหลักทรัพย์ ไม่หวนคืนกลับไปอีกและเริ่มทำธุรกิจกับสามี
เป็นเวลานานพอสมควร จู่ ๆวันหนึ่งก็มีผู้เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ ซึ่งเป็นทนายความมาหาคุณหนุ่ยและบอกคุณหนุ่ยว่า ชีวิตของคุณหนุ่ยกำลังตกอยู่ในอันตราย คุณหนุ่ยต้องไปหาผู้ใหญ่ให้ช่วยเหลือ เขาบอกว่าเชื่อว่าคุณหนุ่ยเป็นคนดีจึงมาเตือนคุณหนุ่ย แล้วเขาก็กลับไปโดยไม่บอกรายละเอียดว่าเป็นอันตรายในเรื่องใด
คุณหนุ่ยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใครในวงการเดิมก็ได้แต่สงสัยว่ายังจะมีเรื่องใดที่จะเป็นเหตุให้คุณหนุ่ยต้องได้รับอันตราย ในชีวิตนี้ยังจะมีเรื่องอะไรที่ว่าร้ายแรงสำหรับคุณหนุ่ยอีกละหรือ แต่จากน้ำเสียงของทนายความที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามาบอกกล่าวด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจและห่วงใยก็ทำให้คุณหนุ่ยไปปรึกษาผู้ใหญ่ที่ยังคงเป็นที่พึ่งพิงได้ ซึ่งท่านก็ไม่ทราบเรื่องและคิดว่าต้องมีเรื่องร้ายแรงจะเกิดกับคุณหนุ่ยแน่ แต่จะเป็นเรื่องอันใดกันละนี่
หลังจากนั้นไม่นานก็มีโทรศัพท์มาที่บ้านว่าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจได้ไปแจ้งความกับกองปราบปรามแยกคดีอาญาทางเศรษฐกิจ ว่าคุณหนุ่ยและพวกได้ร่วมกันฉ้อโกงและยักยอกเงินของบริษัทไปเป็นจำนวนเงิน 196 ล้านบาท
การแจ้งความที่กองปราบปรามนั้นแตกต่างกับการยื่นฟ้องคดีที่ศาลซึ่งคุณหนุ่ยมีโอกาสสู้คดีกันในศาล แต่สำหรับที่กองปราบปรามนั้นหากพนักงานสอบสวนสรุปว่าข้อกล่าวหามีมูลก็จะมีการออกหมายจับผู้ต้องหาไปฝากขังก่อนแล้วจึงจะนำส่งศาล และด้วยมูลค่าของข้อกล่าวหาที่เป็นจำนวนเงินดังกล่าวคุณหนุ่ยเองจะหาเงินที่ไหนมาประกันตัวหากถูกจับได้
ซึ่งต่อมาก็มีแหล่งข่าวบอกคุณหนุ่ยว่าทางกองปราบรับเรื่องไว้พิจารณาแล้วโดยมีพนักงานของบริษัทที่คุณหนุ่ยเองเคยไปเป็นประธานในงานแต่งงานของเขาไปเป็นพยานให้กับบริษัท
คุณหนุ่ยมีความรู้สึกที่หลากหลายกับชีวิตที่ผกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ เหมือนมีมือจับให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วโยนกลับลงมาที่พื้นดินอย่างไร้ความปราณี เหมือนนางฟ้าตกสวรรค์
ในวันศุกร์ก็มีแหล่งข่าวบอกมาว่าหมายจับกำลังจะออกมาอาจเป็นวันจันทร์หรืออังคารที่จะถึงนี้เอง เป็นเวลาที่สามีของคุณหนุ่ยอยู่ต่างประเทศ เมื่อปรึกษากับเพื่อนนักธุรกิจที่มีความศรัทธาในตัวคุณหนุ่ยแล้ว คุณหนุ่ยก็ตัดสินใจหลบออกนอกประเทศก่อนแล้วค่อยคิดอ่านการสู้คดีความในภายหลัง
คืนวันอาทิตย์ คุณหนุ่ยจัดกระเป๋าเดินทางโดยจะต้องทิ้งลูกเล็ก ๆ 4 คนไป คุณหนุ่ยดึงตัวคุณจอยลูกสาวคนโตมากอดแน่นบอกคุณจอยว่า
"หม่ามี้ต้องเดินทางไปต่างประเทศ อาจต้องเป็นเวลานานไม่ทราบจะกลับมาเมื่อไร จอยช่วยดูแลน้อง ๆ ให้ด้วยนะ หากหม่ามี้เป็นอะไรไปจอยต้องบอกน้อง ๆ นะว่าหม่ามี้ไม่ได้เป็นคนเลวอย่างที่คนเขาพูดกัน "
คุณจอยพยักหน้ารับปาก คุณหนุ่ยได้แต่กอดลูก ๆ ทั้ง 4 คนอย่างไม่รู้ชะตาตัวเองว่าจะได้มีโอกาสกอดลูก ๆ ทั้ง 4 คนนี้อีกหรือไม่และเมื่อไร ได้แต่กอดลูกไว้แน่นและไม่กล้าร้องไห้ให้ลูก ๆ เห็นน้ำตาของแม่
เช้าวันจันทร์ ก็มีเพื่อนมารับคุณหนุ่ยไปส่งที่สนามบิน ขณะที่เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าที่สนามบินดอนเมือง คุณหนุ่ยก้มหน้าลงกับฝ่ามือตัวเองร้องตะโกนในใจกับพระเจ้าว่า
" God I'm innocent I'm innocent "
การเลี้ยงดูแบบไข่ในหินจากครอบครัว ขณะนี้คุณหนุ่ยเป็นไข่ที่ไร้หินปกป้องและกำลังถูกโยนลงในกระทะน้ำมันที่เดือดพล่าน การเป็นใหญ่ในวัยทำงานที่นับว่ายังเยาว์ในวันนี้คุณหนุ่ยกลายเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เป็นซำเหมาพเนจร ชั่วพริบตาเดียวที่ชีวิตของคุณหนุ่ยกำลังผกผัน
คุณหนุ่ยไม่กล้านอนในตอนกลางคืนแต่นอนตอนกลางวัน บางทีก็รับประทานอาหารเพียงวันละมื้อ สภาพการเป็นคนร่อนเร่พเนจรที่มีความทุกข์อย่างสุดแสนสาหัส จนกระทั่งมาถึง คืนวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2532 (ค.ศ.1989)
ความระทมขมขื่น คืนวันคริสต์มาส...
คุณหนุ่ยไม่ได้นอนมาก่อนวันคริสต์มาสมาทั้งคืน เพิ่งได้หลับในตอนรุ่งเช้าของวันคริสต์มาส เมื่อตื่นขึ้นมาท้องฟ้ามืดสนิทแล้วเป็นเวลาประมาณ 19.00น. คุณหนุ่ยรู้สึกหิวมาก เมื่อออกมาจากห้องเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่เพื่อไปซื้ออาหาร ได้สัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็นยะเยือกในท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสนิท ดูเหมือนกำลังจะมีลมพายุมาร้านรวงพากันปิดหมด ไม่มีอาหารให้คุณหนุ่ยได้ซื้อหา คุณหนุ่ยต้องกลับมาที่ห้องพัก ทั้งหิวโหย ทั้งหนาวเหน็บ ทั้งเงียบเหงา ความเหงานี้จู่โจมจับไปถึงขั้วหัวใจของคุณหนุ่ย
คุณหนุ่ยลงมือเขียนจดหมายด้วยใจความที่มีความยาว 5 หน้ากระดาษ พรรณาถึงความรักที่มีต่อลูก ๆ และสามี รำพันถึงความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัสที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้น แล้วก็โทรศัพท์แบบเก็บเงินปลายทางเพื่อส่งจดหมาย 5 หน้ากระดาษ กลับมาเมืองไทยทางโทรสาร (ในวันที่เดินทางออกจากประเทศไทย คุณหนุ่ยได้หิ้วเครื่องส่งโทรสารแบบ Partable ติดตัวมาด้วย เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารกับครอบครัวในเมืองไทยได้อย่างประหยัดที่สุด)
เมื่อเอกสารส่งไปได้ 3 หน้า เครื่องเกิดขัดข้อง คุณหนุ่ยจึงโทรศัพท์โดยเก็บเงินปลายทางเพื่อบอกกับสามีว่ายังมีเอกสารอีก 2 แผ่น แต่มีเสียงห้วน ๆ จากปลายสายที่เมืองไทยตอบกลับมาว่า "ส่งมาทำไมเยอะแยะ เปลืองเงิน " คุณหนุ่ยรีบวางหูโทรศัพท์ลงทันทีเกิดความรู้สึกในขณะนั้นว่า ประโยคสั้น ๆ นี้เปรียบประดุจคำสั่งประหารชีวิต คุณหนุ่ยจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน ฝุ่นธุลีในพื้นห้องที่อยู่รายรอบตัวคุณหนุ่ยดูจะมีค่ามากกว่าชีวิตของคุณหนุ่ยเองเสียอีก
ด้วยสภาพสิ่งแวดล้อมของชีวิตในเวลานั้น ด้วยจิตใจที่บอบช้ำอย่างสุดแสนสาหัส พริบตานั้นเอง ความรู้สึกโกรธเกรี้ยว ความน้อยใจ ความเสียใจ ความแค้นใจ ความเศร้าโศก ความว้าเหว่ ความผิดหวัง ความหมดหวัง ความสับสนต่างพากันประเดประดังคลุกเคล้ากันเข้ามาในจิตใจ ถาโถมเป็นเกลียวคลื่นที่กระแทกกระทั้น เป็นเกลียวคลื่นลูกแล้วลูกเล่า
ทำไมชีวิตที่ดี ๆ ของคุณหนุ่ยต้องกลายสภาพมาเป็นชีวิตแบบนี้ คุณหนุ่ยเสียสละอนาคตของตนเองเพื่อให้บริษัท ฯ อยู่รอดปลอดภัย แต่ตัวเองไยต้องรับเคราะห์กรรมถึงเพียงนี้ คุณหนุ่ยกลายเป็นคนไร้ค่าในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ตัวที่มีความหมายที่สุดในชีวิต คุณหนุ่ยก็กำลังเป็นสิ่งไร้ค่าไปเสียแล้วด้วยหรือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ในชั่วขณะนั้นคุณหนุ่ยเกิดอาการคุ้มคลั่งเหมือนคนเสียสติ คุณหนุ่ยร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดตามลำพังในห้องแคบ ๆ เล็ก ๆ เอากำปั้นทุบพื้นห้องเพื่อให้เกิดความเจ็บปวดที่มือเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดในหัวใจ
คุณหนุ่ยแค้นผู้ใหญ่คนนั้นที่กล่าวหาคุณหนุ่ยทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าคุณหนุ่ยไม่ได้กระทำทุจริตยักยอกฉ้อโกงบริษัทฯ เพราะเขาเป็นผู้ลงนามร่วมกับคุณหนุ่ยในการทำนิติกรรมทุกอย่างทุกเรื่องในบริษัท
แค้นลูกน้องที่เป็นพยานเท็จกับตำรวจ ทั้ง ๆ ที่คุณหนุ่ยเป็นประธานงานแต่งงานของเขา
แค้นทนายความที่ทำคดีฟ้องร้องคุณหนุ่ยและไปแจ้งความ
คุณหนุ่ยแช่งชักหักกระดูกพวกเขาทั้งสามคนให้ฉิบหายวายวอดที่ร่วมมือกันทำร้าย ให้ร้ายคุณหนุ่ยขนาดนี้
ความแค้นในอกบวกกับความหิวโหยผสมด้วยความน้อยใจกับคนใกล้ตัว คลุกเคล้ากันกลายเป็นเพลิงร้อนรุ่มเปรียบประดุจเปลวไฟในท่ามกลางทะเลทรายแผดจ้าร้อนแรงเผาผลาญหัวใจไหม้เป็นจุณ หัวใจคุณหนุ่ยแหลกละเอียดเป็นผุยผงด้วยเพลิงไฟแค้นและความน้อยใจนี้ คุณหนุ่ยหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแล้ว จะเหลือลมหายใจไว้ไยกัน
คุณหนุ่ยวิ่งไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาอะไรก็ได้สักอย่างที่สามารถจบชีวิตที่ทุกข์ทรมานแสนสาหัสของตัวเองได้ แต่ไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีปืนสักกระบอก ไม่มีมีดสักเล่ม ไม่มีแม้แต่เชือกสักเส้น ที่จะนำพาคุณหนุ่ยออกไปให้พ้นห้วงแห่งความทุกข์ได้เลย หมดสิ้นปัญญาแม้แต่การปลิดชีพตนเองหลบลี้หนีความทุกข์ระทมในขณะนั้น
คุณหนุ่ยทรุดตัวลงกับพื้นกลางห้องพลางตะโกนสวดต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า
"ข้าแต่พระเป็นเจ้า ลูกไม่ทราบว่าชาติก่อนลูกได้ทำบาปทำกรรมอะไรไว้ แต่ลูกอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ขอพระองค์มารับลูกไปอยู่กับพระองค์เถิด "
คุณหนุ่ยร้องไห้จนหลับไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกตัวตอนกลางดึกโดยฟุบหลับอยู่กลางห้องที่เดิม
ทันใดนั้นก็เกิดความคิด จะโดยคิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้มีการสั่งการจากสมองหรือจะเป็นมโนภาพใต้จิตสำนึกก็แล้วแต่ แต่คุณหนุ่ยรู้สึกว่า มีใครสักคนกำลังบอกกับคุณหนุ่ยว่า
" Don't give up my child. One day the truth will prevail .God has a mission for you ."
คุณหนุ่ยรู้สึกดีใจแปลกใจและตกใจระคนกัน ว่าตนเองคงสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไม่ก็เป็นการปลอบประโลมใจตัวเอง หรือเข้าข้างตัวเอง
แต่คุณหนุ่ยก็คิดได้ว่าแม้ตนเองจะตกระกำลำบากเลือดตาแทบกระเด็น แต่ก็ยังคงมีอิสรภาพไม่ได้อยู่ในคุก และเมื่อถึงที่สุดของที่สุดของความยากลำบากแต่ก็สามารถผ่านพ้นจุดนั้นได้ทุกครั้ง
หลังจากสงบสติอารมณ์ตนเองเรียบร้อยแล้ว ก็สรุปกับตนเองว่า ความคิดที่ได้ยินเสียงเมื่อครู่นั้นคงเป็นการสื่อของพระเจ้าให้คุณหนุ่ยอดทนและต่อสู้ต่อไป วันหนึ่งคุณหนุ่ยจะสามารถพิสูจน์ความจริงความบริสุทธิ์ของตัวเองได้
คุณหนุ่ยถูกสอนมาว่า หากยอมถ่อมตนให้พระเจ้านำทางชีวิตเราแล้วพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด
คิดได้ดังนี้แล้วคุณหนุ่ยจึงกราบลงบนพื้น สวดทูลพระองค์ว่า
" ถ้าความคิดเมื่อครู่นี้เป็นการสื่อของพระองค์แล้ว ลูกจะเป็นและจะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ "
ทันที่ที่สวดเช่นนั้น คุณหนุ่ยก็รู้สึกเหมือนมีใครสั่งในสมองว่า
" ให้อภัยพวกเขาซะ"
คุณหนุ่ยรู้สึกว่า จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะให้อภัย พวกเขาที่ทำลายชีวิตของคุณหนุ่ยจนไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ก่อนหน้านี้คุณหนุ่ยยังสาปแช่งผู้คนเหล่านั้นให้ตกนรกหมกไหม้ ฯลฯ ให้อภัยพวกนั้นไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ
"จงให้อภัยพวกเขาซะ "
ความรู้สึกสองฝ่ายนี้อึงอลในสมองของคุณหนุ่ยและต่อสู้กันอยู่อย่างรุนแรงในหัวใจของคุณหนุ่ย
คุณหนุ่ยสวดทูลต่อพระเป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า
"ข้าแต่พระเป็นเจ้า ลูกให้อภัยผู้ที่ทำร้ายลูกไม่ได้ ขอให้พระองค์ทรงช่วยให้ลูกสามารถให้อภัยพวกเขาด้วยเถิด "
ทันทีที่สวดจบคุณหนุ่ยก็รู้สึกว่าความร้อนรุ่มดังถูกไฟเผาท่ามกลางทะเลทรายในใจได้อันตรธานหายไปหมดสิ้น เกิดความรู้สึกในใจสัมผัสความเย็นสงบเปรียบประดุจมีพายุหิมะพัดผ่านเข้ามาในกลางทะเลทรายนั้น และพัดพาความร้อนรุ่มออกไปจากผืนทะเลทรายในหัวใจคุณหนุ่ยจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความสงบเยือกเย็น เกิดความรู้สึกเป็นสุขความสุขอันเรียกว่าสันติสุข ที่ยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด เป็นตัวอักษร
คุณหนุ่ยรู้สึกว่าเป็น "อัศจรรย์ "ที่คุณหนุ่ยได้รับพรจากพระเจ้าในคืนนั้น คุณหนุ่ยให้อภัยศัตรูได้แล้วได้อย่างสนิทใจเพราะพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า ไม่ใช่ด้วยตัวเอง มิเพียงเท่านั้นคุณหนุ่ยยังสวดทูลขอต่อพระเป็นเจ้าให้ประทานพรแก่ครอบครัวเขาทั้งสาม ด้วยเพราะจิตใจของคุณหนุ่ยไม่มีความอาฆาตแค้นเหลืออยู่อีกแล้ว การสวดขอพรจากพระให้พวกเขาและครอบครัวของเขานั้นเป็นการให้อโหสิกรรมอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เลิกแล้วต่อกันสำหรับเวรกรรมในครั้งนี้ไม่มีการจองเวรจองกรรมกันอีก ไม่ว่าต่อไปในชาตินี้หรือชาติหน้า
คืนวันคริสต์มาส ปี พ.ศ.2532 เป็นคืนที่คุณหนุ่ยได้ก้าวสู่ชีวิตในอีกมิติหนึ่ง เป็นมิติแห่งความจริงที่สว่างไสว ที่ได้พบหลังจากเดินผ่านขวากหนามที่ทำให้ร่างกายและจิตใจของคุณหนุ่ยมีบาดแผลไปทั่วสายธารของโลหิตหลั่งไหลออกมาจนแทบหมดตัวและยังมีกองเพลิงของโทสะคือความโกรธเกลียด อาฆาตแค้นลุกโพลงโหมกระหน่ำแผดเผาหัวใจของตัวเองมาตลอด
คุณหนุ่ยใช้ชีวิตที่ร่อนเร่พเนจรในต่างแดนต่อไปด้วยจิตใจสงบเยือกเย็นจนหมดอายุความอาญาจึงกลับคืนมายังแผ่นดินถิ่นเกิด
หมายเหตุ ในขณะนั้นคุณหนุ่ยยังมิใช่คริสตชน
คุณหนุ่ยเขียนเล่าว่า โดยปกติคนหนุ่มสาวโดยทั่วไปจะไม่ค่อยเข้าหาวัดหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อประสบปัญหาในชีวิตนั้นแหละที่จะเป็นเวลาที่คนเราหันไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้มีอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ และมักจะพึ่่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองเคยคุ้นในแนวศาสนาที่ได้รับอบรมกันมาตั้งแต่เล็ก
คุณหนุ่ยเรียนหนังสือในโรงเรียนคาธอลิค จึงได้รับการปลูกฝังอบรมสั่งสอนโดยคณะมาแมร์และพระให้รู้จักพระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเจ้า แม่พระ ตลอดจนการสวดภาวนาสายประคำ
ในช่วงที่ตกทุกข์ได้ยากคุณหนุ่ยจึงเคยคุ้นที่จะสวดต่อแม่พระ ต่อพระเป็นเจ้า แม้จะเป็นชาวพุทธอยู่ในขณะนั้นแต่คุณหนุ่ยรู้สึกในใจลึก ๆ ว่าพระเป็นเจ้าได้ยินคำสวดอ้อนวอน และทรงดูแลคุณหนุ่ยมาตลอดการใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน
ป้ายกำกับ:
[บทความ]
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น