วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

เดินเท้าเปล่าเข้าโรงเรียน 3




ต้นแสมใหญ่ริมคลองบ้านพี่ทัยเคยเป็นพิ้นที่่สวนริมคลองที่พลอยโพยมเคยเดินดมชมดอกนมแมว

ฝั่งตรงข้ามตามแนวหลังต้นจาก เคยเป็นลานนวดข้าวของน้านุ้ยมีกองฟางใกล้ ๆ กับที่ผูกเจ้าเล็กและเจ้าหมอกที่โคนต้นไทร


คลองศาลเจ้าหน้าบ้านพี่ทัย ในปัจจุบันทั้งแคบและตื้น

บริเวณก่อนถึงสะพานข้ามคลอง นึกภาพแทบไม่ออกว่่าในอดีตก่อนพลอยโพยมเกิด มีเรือสำเภาเข้ามาถึงหน้าบ้านพี่ทัยได้

เราต้องเดินเลียบคลองศาลเจ้าไปจนสุดเขตที่นาที่ลุงช้อยทำอยู่ จากตรงนี้จะต้องเดินลัดตัดท้องนา เพื่อไปขึ้นถนนดินหากชาวนาปล่อยน้ำและเกี่ยวข้าวเสร็จเรียบร้อยและพื้นนาแห้งพอเดินได้แล้ว ส่วนใหญ่เป็นก่อนปิดเทอมใหญ่ และช่วงเปิดเรียนใหม่ ๆ ก่อนฤดูฝนและชาวนาเริ่มไถ คราด นา


ท้องทุ่งนาของคุณตาบุญกลายเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาร้าง

ตั้งแต่ออกจากหลังสวนของยายขาแล้วมองไปรอบด้านก็จะพบแต่ท้องนารอบทิศทาง ยกเว้นด้านแนวคลองศาลเจ้าด้านบ้านพี่ทัย และบ้านคนอื่น ๆ ดังที่กล่าวมา หากแต่หลังบ้านของคนเหล่านั้นอีกฟากฝั่งคลอง ก็ล้วนเป็นที่นา ส่วนสวนนั้นจะอยู่ตามแนวริมแม่น้ำหรือติดคลองต่าง ๆ โดยทั่วไป แต่ตามแนวคลองศาลเจ้านี้พื้นที่ที่ติดคลองนั้นฝั่งหนึ่งเป็นของก๋งโต ( ตระกูลพี่ทัย ) ที่ดินอีกแนวฝั่งเป็นของก๋งพุก (น้องชายก๋งโต) ซึ่งเป็นพ่อของคุณตาบุญของพลอยโพยม ที่ดินของคุณตาบุญมีแปดสิบกว่าไร่ไม่รวมที่สวน ส่วนที่ดินของก๋งโตนั้นมีอาณาเขตมากกว่าที่ดินของคุณตาบุญ เพราะคุณตาบุญเป็นลูกคนสุดท้องมีพี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่น ที่ได้รับส่วนแบ่งจากก๋งพุกเช่นกัน ที่สวนและที่นาญาติ ๆ ก็อยูถัดกับที่คุณตาบุญ ซึ่งล้วนอยู่คนละฝั่งคลองกับบ้านพี่ทัย


ถนนที่ต้องเลี้ยวขวานี้ เคยเป็นเส้นทางที่พลอยโพยมใช้เดินลัดตัดท้องนามาขึ้นถนนคันดิน

สุดแนวนาที่ลุงช้อยทำอยู่พลอยโพยมก็ไม่รู้ว่าเป็นที่นาของใครกัน หากเป็นฤดูกาลทำนาเราต้องเดินบนคันนาเท่านั้น ซึ่งต้องเป็นการเดินอ้อมตามแนวคันนาที่มีอยู่ ไม่สามาารถเดินลัดตัดตรงตามใจเราได้ ในท้องนาสมัยก่อนเดินไม่ง่ายนัก เพราะซังข้าวค่อนข้างยาว เนื่องจากพันธุ์ข้าวในสมัยก่อนเป็นพันธุ์ข้าวที่มีลำต้นสูง เพื่อให้ชูยอดพ้นน้ำได้ในหน้าน้ำมาก ๆ และเพราะเป็นนาดำต้นข้าวจึงขึ้นเป็นกอ ๆ เวลาเกี่ยวข้าวแล้วผืนนาจึงมีซังข้าวล้มทอดตัวในผืนนา มีทั้งโคนกอข้าว และลำต้นที่ทอดกายก่ายเกยกันในผืนนา ผืนนาบางแห่งก็แห้งน้ำดี บางแห่งก็ยังเปียก ๆ แฉะ ๆ บางแห่งก็เป็นดินพุ ๆ มีน้ำเจิ่งนอง





นึกมาถึงตรงนี้ก็แสนสงสารชีวิตวัยเด็ก ๆ ที่ไม่มีรองเท้าสวมใส่ เดินตีนเปล่ากันจริง ๆ แต่ก็เป็นผลดีเพราะในสมัยนั้นแม้แต่ถนนก็ยังเป็นถนนดินหากต้องสวมรองเท้าไปโรงเรียนก็คงต้องเอารองเท้าผูกเชือกแขวนคอเดินเวลาเจอที่แฉะๆ และช่วงฝนตก ที่ต้องเอาเชือกผูกรองเท้าแขวนคอเพราะไม่มีมือจะถือรองเท้า ในเมื่อมือหนึ่งหิ้วกระเป๋าอีกมือหิ้วปื่่นโตข้าวเสียแล้ว แต่เราก็ได้สวมรองเท้าดินเวลาหน้าฝน เพราะดินจะติดเท้าเป็นแผ่นใหญ่ตามรูปร่างของเท้าเด็กแต่ละคนแทน

แล้วหน้าฝนพลอยโพยมไปโรงเรียนหรือกลับบ้านอย่างไร
เนื่องจากเด็กในบ้านประมาณห้าคน ไปเรียนที่โรงเรียนวัดผา ฯ เดียวกัน เรามีผ้าพลาสติกเนื้อหนาผืนใหญ่ มีพี่ ๆ เป็นคนรับผิดชอบถือไปโรงเรียนทุกวัน เวลาฝนตกเด็ก ๆ ก็ช่วยกางผ้าพลาสติกผืนใหญ้นี้บังฝนช่วยกันจับตามมุมผ้า คนตัวเล็กอย่างพลอยโพยมก็เดินวงในช่วยพี่ ๆ ถือของเพราะพี่ ๆ ต้องเอามือจับผืนผ้าไว้ ค่อย ๆ เดินช้า ๆ ไปด้วยกันพอถึงคันนาก็เดินเรียงหนึ่ง เวลาฟ้าร้องคำรามก็ใจหวิวหวั่น หากมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาตรงไหนก็แล้วแต่ พวกเราก็ฟุบตัวลงนั่งยอง ๆ กับพื้นดิน อกสั่นขวัญหายไม้แพ้เห็นควายวิ่งไล่กัน
จนเมื่อพี่ ๆ ย้ายไปเรียนหนังสือที่ตัวเมือง พลอยโพยมก็กลายเป็นพี่ มีน้องชายร่วมเดินทาง 1 คน ลูกสาวป้าละออคนเล็กสุด 1 คน เราก็เลิกกางผ้าพลาสติก เปลี่ยนเป็นกางร่มกระดาษสีแดงแทน

ร่มกระดาษที่ใกล้เคียงกับร่มสมัยเด็ก ๆ แต่ฝีมือหยาบกว่าและกระดาษไม่ทำลวดลายสวยงามอย่างในภาพ

เพิ่มคำอธิบายภาพ
ถ้าหุบร่มก็จะมีลักษณะเทอะทะแบบนี้ แต่มีขนาดเล็กกว่าตัวอย่างในภาพ

ขอขอบคุณภาพจาก
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=fromsandtoheaven&month=15-08-2008&group=2&gblog=37

ท้องนาด้านนี้มีผืนนากว้างมาก หลายเจ้าของหลายกระทงนา บรรดากาสรถูกปล่อยให้เล็มหญ้าในนาแถบบริเวณที่ใกล้ ๆ บ้านชาวนา เมื่อหญ้าหมดก็ต้องเขยิบพื้นที่ห่างออกมาเรื่อย ๆ แต่หากมีควายทะเลาะกันการวิ่งไล่ก็น่ากลัวกว่าเพราะพื้นที่ที่กว้างกว่าท้องนาด้านที่เดินสวนมาก บ่อยครั้งที่เห็นควายวิ่งไล่กันเป็นระยะทางยาว ๆ วิ่งอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าห้อตะบึงเลยทีเดียว แต่เราจะอยู่ในระยะไกลจากควายเหล่านั้น ปัญหาที่สำคัญคือ เวลาฝนตกแล้วเราเดินอยู่ในนา พวกเราจะเป็นจุดเด่นกลางผืนนาหรือบนคันนา หากฝนตั้งเค้าให้รู้ตัว พวกเราก็จะไม่เดินเส้นทางนี้ เพราะถนนดินเส้นนี้เป็นเส้นทางจากวัดผา ฯ ปลายถนนอีกด้านไปหมูบ้านอื่น มิใช่มาหมู่บ้านอู่ตะเภา เราเดินลัดนาก็เพื่อมุ่งสู่เส้นถนนเท่านั้น
หากเดินตามแนวสวนเราจะเดินฝ่าสายฝนได้สบายใจกว่า เพราะแนวต้นไม้สูงกว่าพวกเรา เราไม่เป็นจุดเด่นแบบกลางท้องนา



ในช่วงที่เดินบนถนนเราก็จะพบเพื่อนฝูง รุ่นพี่ รุ่นน้อง คุณครูบางท่าน เดินมาเป็นกลุ่ม ๆ แล้วแต่บ้านไหนมีเด็กนักเรียนกี่คน หรืออยู่ใกล้กับบ้านใครก็จะออกเดินมาโรงเรียนด้วยกัน เด็ก ๆ แต่ละคนก็ล้วนแต่ก้มหน้าก้มตาเดินให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็ว ๆ ไม่มีการชักช้าเสียเวลายกเว้นขากลับบ้าน ใครเห็นของต้องใจของตนข้างทางก็หยุดแวะไปเก็บมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น