เจ้าผู้ครองนครอาฬวี ชอบการล่าสัตว์ เป็นกิจวัตร วันหนึ่งพลัดหลงเข้าไปใต้ต้นไทร ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของอาฬวกยักษ์ จึงถูกยักษ์จับไว้ เพื่อกินเป็นอาหาร ด้วยความกลัวตายจึงเอาตัวรอดด้วยการต่อรอง เจ้าอาฬวีสัญญาว่าจะส่งคนมาแลกชีวิต วันละหนึ่งคนทุกวัน
อาฬวกยักษ์จึงยอมปล่อยพระเจ้าอาฬวีราชเสด็จกลับวัง พระองค์จึงต้องรับสั่งให้นำตัวนักโทษในคุกส่งไปให้อาฬวกยักษ์กินเป็นอาหาร วันละ ๑ คน จนกระทั่งนักโทษหมดคุก พนักงานจัดหาคนจึงวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ชอบใจใครก็แกล้งจับส่งไปเป็นอาหารให้ยักษ์ เมื่อหมดผู้ใหญ่แล้ว แม้แต่วัยรุ่น เด็ก ราษฎรก็พลอยเดือดร้อน หวาดกลัวไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
จนในที่สุด หามนุษย์ส่งไปเป็นอาหารให้อาฬวกยักษ์ไม่ได้อีกแล้วเหลือเด็กอีก ๑ คน คือพระราชโอรสของพระเจ้าอาฬวีราชนั่นเอง
พระเจ้าอาฬวีราชจึงจำใจต้องยอมส่งพระราชโอรสออกไปเป็นอาหารให้กับอาฬวกยักษ์
พระบรมศาสดาได้ทราบด้วยพระญาณ จึงเสด็จไปยังที่อยู่ของยักษ์ แล้วแสดงธรรมโปรดอาฬวกยักษ์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ทรงขยายอรรถกถา อุปมาอุปไมยเปรียบเทียบ จนอาฬวกยักษ์เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วหันกลับมาประพฤติตนเป็นยักษ์ที่ดี มีศีลธรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสขอบิณฑบาตตัวเจ้าชายอาฬวีราชกุมารไว้ แล้วตรัสให้ยักษ์เลิกกินเนื้อมนุษย์ ซึ่งเหล่ายักษ์ก็ยอมให้คำมั่นสัญญา
ขอขอบคุณภาพจาก trang82.wordpress.com
เมื่อความทราบถึงพระเจ้าอาฬวีราช จึงเสด็จออกมานมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถวายตัวขอเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา จากนั้นพระเจ้าอาฬวีราชได้ตรัสเชิญอาฬวกยักษ์และบริวารเข้ามาอาศัยอยู่ร่วม กันในพระนคร โดยรับสั่งให้สร้างวิมานที่พำนักขึ้น เมื่อถึงเวลาก็ให้คนนำอาหารประกอบด้วย ข้าว น้ำ และกับ มาให้เหล่ายักษ์ ทั้งราชา ยักษ์ และราษฎรจึงอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองและมีความสุขตลอดมา
ดังนั้นในพรรษาที่ ๑๖ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำพรรษาที่อัคคารฬวเจดีย์วิหาร เมืองอาฬวี ขณะมีพระชนม์ ๕๐ ปี
พรรษาที่ ๑๗ ประทับจำพรรษาที่วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์
พรรษาที่ ๑๘ จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา
ทรงเสด็จไปเมืองอาฬาวีครั้งที่ ๒
เมื่อครั้ง พระพุทธองคฺฺเสด็จเมืองอาฬวีครั้งแรก ทรงแสดงธรรมอันปฏิสังยุตด้วยความตาย ว่า
ชีวิตมนุษย์เราไม่แน่นอน ความตายนั่นแหละแน่นอน เกิดมาแล้วต้องตายกันทุกคน เพียงไม่รู้ว่าจะตายวันไหนเวลาไหนเท่านั้น ขออย่าได้ประมาทในชีวิต ให้เจริญมรณานุสสติไว้ให้ดี
ธิดาช่างหูก อายุ ๑๓ ปี มีโอกาสไปฟังธรรมด้วย รู้สึกซาบซึ้งในพระธรรมเทศนา จึงเจริญมรณานุสสติเสมอมา
จนเวลาล่วงไปถึงสามปี พระพุทธองค์ก็เสด็จไปโปรดชาวเมืองอาฬวีอีกครั้ง เพื่อโปรดธิดาช่างทอหูก เนื่องจากทรงทราบในข่ายพระญาณว่า กุมาริกานี้ได้เจริญมรณานุสติมา ๓ ปีแล้ว นับแต่ได้ฟังพระธรรมเทศนาที่เมืองอาฬวีในคราวที่เสด็มาจำพรรษาที่ ๑๖
พระพุทธองค์ทรงทราบว่า เมื่อตรัสแสดงพระธรรมเทศนาโปรดกุมาริกานี้ เทศนานั้นจะเป็นประโยชน์แก่มหาชนจำนวนมาก จึงพาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป เสด็จมายังเมืองอาฬวี
เมื่อชนขาวเมืองอาฬวี ทราบข่าวการเสด็จมาของพระพุทธองค์ ต่างก็พากันมากราบทูลอาราธนาเพื่อถวายภัตตาหารแด่พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
ขอขอบคุณภาพจาก
www.dhammajak.net
….ธิดาช่างทอหูกได้ทราบว่า พระพุทธองค์เสด็จมาก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะได้เห็นและฟังพระธรรมจากพระบรมศาสดาอีก ตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ให้ได้
แต่บังเอิญ พอถึงวันจะไปฟังธรรม บิดานางได้สั่งนางให้กรอด้ายหลอดให้ได้จำนวนหนึ่ง แล้วให้นำไปส่งที่โรงทอผ้า เพื่อจะทอผ้าให้สำเร็จในวันนั้น นางตัดสินใจจะกรอด้ายให้เสร็จก่อนแล้วจึงจะไปฟังธรรม
หลังจากถวายภัตตาหารแด่พระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์แล้ว
ชนชาวเมืองอาฬวีก็รออยู่เพื่อรับการอนุโมทนา พระพุทธองค์ทรงประทับนิ่งเฉย ดำริว่าเราตั้งใจมาโปรด นางกุมาริกาธิดาช่างทอหูก ดังนั้นจึงสมควรรออยู่ก่อน
กุมาริกาธิดาช่างทอหูกเมื่อกรอด้ายเสร็จ จึงนำด้ายที่กรอแล้วจะไปส่งให้บิดาที่โรงหูก ทางที่จะไปนั้นต้องผ่านสถานที่ที่พระบรมศาสดาประทับท่ามกลางเหล่าบริษัทที่นั่งรอฟังพระธรรมเทศนาอยู่
นางแลเห็นพระบรมศาสดาทอดพระเนตรมาที่นาง จึงวางกระเช้าด้ายหลอดลงแล้วเข้าไปเฝ้าถวายบังคมแล้วนั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระพุทธองค์ทรงทราบว่าในวันนั้นเมื่อไปจากที่นี้นางจักถึงแก่กาละและเป็นผู้มีคติไม่แน่นอน
แต่ถ้านางได้ฟังพระธรรมเทศนาจะบรรลุโสดาปัตติผลนางจักเป็นเป็นผู้มีคติแน่นอน จักได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตวิมาน
ขอขอบคุณภาพจาก www.madchima.org
ขณะที่กุมาริกาเข้าเฝ้าและถวายบังคมแล้ว
พระพุทธองค์ตรัสถามนางว่า"กุมาริกา เธอมาจากไหน"
กุมาริกาทูลตอบว่า"หม่อมฉันไม่ทราบ พระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "เธอจักไปไหน"
กุมาริกา ทูลตอบว่า"หม่อมฉันไม่ทราบ พระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "เธอไม่ทราบหรือ"
กุมาริกาทูลตอบว่า "หม่อมฉันทราบ พระพุทธเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "เธอทราบหรือ"
กุมาริกาทูลตอบว่า "หม่อมฉันไม่ทราบ พระพุทธเจ้าข้า"
คำกราบทูลของนางทำให้ประชาชนในที่ชุมนุมต่างพากันกล่าวว่า ธิดาช่างทอหูกนี้เจรจาเล่นลิ้นกับพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ประสงค์จะให้ชนทั้งหลายเข้าใจนางกุมาริกานั้น
จึงตรัสถามนางว่า….“กุมาริกา เมื่อเราถามว่า มาจากไหน เพราะเหตุไรเธอจึงตอบว่าว่า ไม่ทราบ"
นางกราบทูลว่า "หม่อมฉันเข้าใจว่าพระองค์ตรัสถามด้วยอำนาจแห่งปฏิสนธิว่ามาจากไหน หม่อมฉันไม่ทราบว่ามาจากนรกหรืิอเทวโลก หม่อมฉันจึงกราบทูลว่าไม่ทราบ"
พระพุทธองค์ตรัสถามอีกว่า " เมื่อเราถามเธอว่า จะไปไหน เหตุไรจึงตอบว่าไม่ทราบ "
นางกราบทูลว่า " หม่อมฉันเข้าใจว่าพระองค์ตรัสถาม ด้วยอำนาจแห่งจุติว่าจักไปไหน เพราะหม่อมฉันไม่ทราบว่าจักไปนรกหรือเทวโลก หม่อมฉันจึงทูลตอบว่าไม่ทราบ"
พระพุทธองค์ตรัสถามว่า " เมื่อเราถามว่า เธอไม่ทราบหรือ เหตุไรเธอกลับตอบว่าทราบ"
นางกราบทูลว่า " หม่อมฉันย่อมทราบภาวะด้วยแห่งมรณะว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตายแน่นอน หม่อมฉันจึงทูลตอบว่าทราบ"
พระพุทธองค์ตรัสถามว่า" เมื่อเราถามเธอว่าทราบหรือ เหตุไรเธอจึงตอบว่าไม่ทราบ"
นางกราบทูลว่า " หม่อมฉันทราบแต่ภาวะคือความตาย แต่ไม่ทราบถึงมรณะกาลว่าหม่อมฉันจักตายเวลาใด วันนี้หรือพรุ่งนี้ หม่อมฉันจึงกราบทูลว่าไม่ทราบ"
พระบรมศาสดาทรงอนุโลมปัญหาที่กุมาริกาวิสัชนาแล้วว่า
" ดีแล้วทาริกาเป็นบัณฑิต จงจำไว้ว่าชนเหล่าใดไม่มีปัญญา ชนเหล่านั้นเป็นประดุจผู้มีจักษุบอด"
แล้วตรัสคาถาว่า
อนฺธภูโต อยํ โลโก ตนุเกตฺถ วิปสฺสติ
สกุนฺโต ชาลมุตฺโตว อปฺโป สคฺคาย คจฺฉติ.
" ในโลกนี้มีคนน้อยนักจักเห็นแจ้ง น้อยคนที่จะไปสู่สวรรค์ ดุจนกติดข่าย น้อยตัวนักที่จะหลุดจากข่าย ฉะนั้น "
เมื่อจบพระธรรมเทศนา กุมาริกานั้นก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วถือกระเช้าด้ายหลอดไปสู่โรงหูกของบิดา
บิดาเห็นนางก็โกรธว่านางมาช้านัก จึงพุ่งกระสวยไปโดยแรง
กระสวยด้ายนั้นพุ่งไปทิ่มท้องของนางกุมาริกาสิ้นชีวิต ณ ที่นั้นเอง
นางกุมาริกาก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ขอขอบคุณภาพจาก http://www.phraprasong.org/
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=39613&start=75
ในพรรษานี้มีเหตุการณ์ที่สำคัญคือ
- โปรดธิดาช่างหูกบรรลุโสดาปัตติผล นางมีชื่อว่า เปสการี
- ช่างหูกผู้เป็นบิดาขอบวชสำเร็จอรหัตตผล
- ตรัสอริยทรัพย์ ๗ ประการ
กระสวย
ขอขอบคุณภาพจากnorthencottonweaving.blogspot.com
กระสวย หมายถึงไม้ที่เป็นรูปเรียวตรงปลายทั้งสองข้าง ตรงกลางใหญ่ และมีรองสำหรับใส่ด้ายพุ่ง ใช้สำหรับพุ่งสอดไปในช่องด้ายยืนระหว่างการทอผ้า หลังจากที่ช่างทอ เหยียบคาน เหยียบให้เขาหูกแยกเส้นด้านยืนแล้ว
ส่วนในพรรษาที่ ๑๙ พระพุทธงค์ทรงจำพรรษาที่จาลิกบรรพต เขตเมืองจาลิกา
มีเหตุการณ์สำคัญคือ
- เรื่องโปรดโจรองคุลีมาล
- เรื่องสันตติมหาอำมาตย์บรรลุอรหัตตผลแล้วนิพพาน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดยพระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทฺโธ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=39613&start=75
http://topicstock.pantip.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น