วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
สู่แดนพระพุทธองค์ ๔๒ ช้างปาริไลยก์ กรุงโกสัมพี
ณ รักขิตไพรสณฑ์ ที่นั้น
ช้างปาริไลยก์ ซึ่งปลีกตัวออกจากฝูงมาอยู่ในป่านี้เช่นเดียวกัน
ครั้นเห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ โคนต้นสาละ จึงใช้เท้าปรับพื้นดินให้สม่ำเสมอ
ใช้งวงจับกิ่งไม้กวาดพื้นที่โดยรอบต้นภัททสาละให้สะอาด
จากนั้นจึงใช้งวงจับหม้อน้ำเตรียมน้ำใช้น้ำฉันมาตั้งไว้ แล้วสู่ป่าหาผลไม้มาถวาย
วันใดที่พระพุทธองค์เสด็จออกไปบิณฑบาต ในวันนั้น ช้างปาริไลยก์ก็จะนำบาตรวางไว้ที่กระพอง (ปุ่่มสองข้างที่ศรีษะช้าง) เดินไปตามพระพุทธองค์ ครั้นใกล้ที่จะเข้าเขตบ้านก็ส่งบาตรถวาย เมื่อพระพุทธองค์กลับจากบิณฑบาตก็คอยรับบาตรนำไปวาง ณ สถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับ แล้วทำข้อวัตรปฏิบัติเช่น
เด็ดใบไม้มาพัดวีพระพุทธองค์
เวลากลางคืนก็คอยถวายความอารักขา โดยเดินไปรอบ ๆ ที่ประทับจนสว่าง
เมื่อสว่างแล้วก็ถวายน้ำสรงพระพักตร์ น้ำบ้วนพระโอษฐ์ ไม้สำหรับชำระพระทนต์
ในเวลาจะสรงน้ำ พญาช้างจะเอางวงขนไม้มาสีกัน ให้เกิดเป็นไฟ ทำให้ไฟลุกโพลง ทำก้อนหินในที่นั้นให้ร้อน แล้วใช้ไม้กลิ้งก้อนหินนั้นลงไปในแอ่งน้ำ รู้ว่าน้ำร้อนแล้วจึงเข้าไปยืนอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าช้างจะให้เราสรงน้ำ จึงเสด็จไป
ช้างปาริไลยก์ได้ปฏิบัติต่อพระพุทธองค์เช่นนี้เป็นประจำมิได้ขาด ตลอดพรรษา
วานรตัวหนึ่ง เห็นช้างปาริไลยก์อุปัฎฐากพระพุทธองค์ คิดว่าเราควรกระทำกิจสักอย่างหนึ่งถวายบ้าง
ต่อมา วานรนั้นเห็นรวงผึ้งซึ่งไม่มีตัวผึ้งที่กิ่งไม้แห่งหนึ่งจึงหักกิ่งไม้นั้น แล้วเด็ดใบไม้ใหญ่ใบหนึ่งวางรวงผึ้งบนใบไม้นั้น นำเข้าไปน้อมถวายแด่พระบรมศาสดา
พระพุทธองค์ทรงรับแล้วประทับนิ่งเฉยอยู่ วานรจึงเข้ามาจับรวงผึ้งนั้นพลิกดู เห็นมีตัวอ่อนอยู่ภายใน จึงนำตัวอ่อนออกมาจนหมด แล้วน้อมถวายอีกวาระหนึ่ง
พระบรมศาสดาทรงรับแล้วเสวย
วานรดีใจ ขณะกระโดดโลดเต้นอยู่บนต้นไม้ กิ่งไม้หักตกลงมาถูกตอไม้เสียบถึงตาย
ด้วยจิตเลื่่อมใสในพระพุทธองค์ได้ไปบังเกิดในดาวดึงส์พิภพ มีนางอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร
ขอขอบคุณภาพจาก munamangel.wordpress.com
ครั้นออกพรรษาแล้ว บรรดาตระกูลเศรษฐีคฤหบดี ในนครสาวัตถี มี อนาถบิณฑิกเศรษฐี และมหาอุบาสิกาวิสาขา เป็นต้น ได้ส่งข่าวมาถวายพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก ขอให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดา ให้เสด็จไปนครสาวัตถี บรรดาพระภิกษุตามชนบทต่าง ๆ ก็พากันไปหาพระอานนท์ ขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้ามีความว่า
ถ้าบุคคลใดได้สหายที่มีความรู้ รักษาตัวได้ มีปัญญารักจะอยู่ร่วมกับคนดี เป็นเพื่อนร่วมทางเขาก็ควรจะยินดี มีสติย่ำยีอันตรายรอบ ๆ ข้างทั้งปวงเสียแล้ว เที่ยวไปกับสหายผู้นั้น ถ้าหากไม่ได้สหายเช่นนั้น ก็ควรทำตนดังพระราชา ที่ทรงละแว่นแคว้นเสด็จเที่ยวไปแต่ลำพังองค์เดียว... การเที่ยวไปคนเดียวดีกว่า เพราะคนพาลเป็นสหายไม่ได้ และไม่ควรกระทำบาป ควรจะเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระภิกษุเหล่านั้นก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ช้างปาริไลยก์อาลัยพระพุทธองค์นักเดินตามพระพุทธองค์ออกจากป่า จนพระพุทธองค์เสด็จถึงเขตแดนหมู่บ้าน ก็ยังทำท่าจะตามเข้าไปในเมืองด้วย พระพุทธองค์จึงทรงหันไปตรัสบอกช้างปาริไลยก์ว่า
"ปาริไลยก์! ถิ่นของเธอหมดแค่นี้ แต่นี้ไปเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ซึ่งเป็นภัยต่อสัตว์เดรัจฉานเช่นเธอ เธอไปด้วยไม่ได้หรอก"
ช้างปาริไลยก์ยืนร้องไห้เสียใจไม่กล้าเดินตามพระพุทธองค์ต่ออีก ได้แต่ยืนมองพระพุทธองค์เสด็จห่างออกไปจนลับสายตาด้วยความอาลัย ช้างปาลิไลยก์ก็หัวใจวายล้มลงตาย ณ ที่นั้น ด้วยกุศลแห่งความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ก็ได้บังเกิดเป็นเทพบุตร ในสวรรค์มีนามว่า ปาริไลยกเทพบุตร
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.baanjomyut.com
http://th49.ilovetranslation.com
สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดยพระราชรัตนรังษี (ว.ป. วีรยุทฺโธ)
ป้ายกำกับ:
[บทความ]
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น