วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สู่แดนพระพุทธองค์ ๖๒ สถูปยมกปาฏิหารย์




สถูปยมกปาฏิหารย์
ขอขอบคุณภาพจากwww.bodhigaya980.org

สถูปขนาดใหญ่ที่เหลือเพียงเนินดินมองดูสูงกว่าที่ใด ๆ ในนครสาวัตถี อยู่ข้างทางระหว่าเมืองพาลัมปุระกับเมืองสราวัสสติ นับจากเชตวันมหาวิหารประมาณ ๒ กิโลเมตร ชาวบ้านเรียกว่า สวนมะม่วงของคัณฑกะ สันนิษฐานว่าสถานที่นี้คือที่ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงยมกปาฏิหารย์

ในออถกถาธรรมบทเล่าไว้ว่า

ในสมัยนั้นในกรุงสาวัตถี ลาภสักการะอันเคยบริบูรณ์แก่เหล่าเดียรถีย์ได้เสื่อมถอยลงเป็นลำดับ เพราะมหาชนหันมานับถือพระพุทธศาสนามากขึ้น เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์หาทางทำลายพระพุทธศาสนาทุกวิถีทาง พวกเดียรถีย์มีความเห็นพ้องกันว่าสาเหตุเพราะสำนักของพระสมณโคดมเป็นทำเลที่ดี การคมนาคมสะดวกแก่เหล่าชนที่จะไปฟังธรรม ลาภสักการะจึงเกิดแก่พระสมณโคดมมากมาย เหล่าเดียรถีย์จึงคิดสร้างสำนักของตนขึ้น ณ หลังพระเชตวันมหาวิหาร ได้นำเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าปเสนทิโกศล แล้วขอพระราชทานที่ดินเพื่อสร้างสำนักตน



มหามูลคันธกุฎีในพระเชตวัน
ขอขอบคุณภาพจากwww.alittlebuddha.com

ขณะดำเนินการก่อสร้าง พระพุทธองค์ทรงดำริว่า การนีี้อาจเป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนาในอนาคตจึงให้พระอานนท์ไปทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล
พระเจ้าปเสนทิโกศลปฏิเสธไม่ยอมให้เข้าพบ ไม่ว่าจะเป็นพระอานนท์ พระสารีบุตรหรือพระโมคคัลลานะ พระบรมศาสดาจึงเสด็จไปด้วยพระองค์เอง

พระพุทธองค์เสด็จไปแล้วไม่ตรัสถามความใด แต่ทรงยก ภรุชาดก เป็นอุทาหรณ์ว่า

"ในอดีตมีนักบวช ๒ พวก พำนักอยู่ ณ โคนต้นไทร พวกหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ พวกหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ ต่อมาต้นไทรทางทิศใต้เกิดเหี่ยวแห้งตายหมด จึงอพยพไปทางทิศเหนือประสงค์จะไปอยู่ ณ ที่นั้น เกิดการทะเลาะกับผู้ที่อยู่ก่อน เพราะการแย่งที่พำนัก จึงพากันไปให้พระราชาแห่งกรุงภรุตัดสิน นักบวชฝ่ายหนึ่งได้ถวายเรือสำหรับเป็นราชพาหนะแก่ภรุราชา
พระราชาตัดสินให้ฝ่ายที่มอบเรือเป็นผู้ชนะด้วยความลำเอียงทำให้เทวดาที่อยู่ในกรุงภรุทั้งสิ้นโกรธ เพราะเหตุที่พระราชาทำให้ผู้มีศีลทะเลาะกันด้วยอำนาจแห่งฉันทาคติ เทวดาจึงบันดาลให้เมืองภรุจมไปใต้ทะเล ประสบความพินาศอย่างใหญ่หลวง ล่มจมทั้งแว่นแคว้น "

พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สดับดังนั้น จึงมีรับสั่งให้จับนักบวชเหล่านั้นออกไปแล้วทรงสร้างให้ที่นั้นเป็นอารามสำหรับภิกษุณี พระราชทานนามว่า ราชการาม กรุงสาวัตถีจึงมีอารามเกิดขึ้นใกล้พระเชตวันมหาวิหารด้วยเหตุนี้

พระพุทธองค์เสด็จไปยังกรุงสาวัตถี รับสั่งกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะแสดง ยมกปาฏิหารย์ ณ ชานกรุงสาวัตถี ในวันเพ็ญเดือน ๘

พระพุทธองค์ทรงกระทำยมกปาฏิหารย์ต่อคำท้าทายของพวกเดียรถีย์นิครนถ์ ซึ่งเป็นการแสดงครั้งสำคัญ และครั้งสุดท้ายของพระบรมศาสดา ทำให้ประชาชนชาวเมืองสาวัตถีตื่นเต้นในอภินิหารของพระบรมศาสดา และทำให้ลัทธิศาสนาอื่น ๆ ในนครสาวัตถีเสื่อมลงไป ใคร ๆ ก็พากันมาสนใจกับพระพุทธศาสนามากขึ้น และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้พวกเดียรถีย์ต้องจ้างนางจิณจมาณวิกา ไปทำลายชื่ิอเสียงของพระบรมศาสดา

พระพุทธองค์ไม่โปรดการแสดงอิทธิปาฏิหารย์ ทรงห้ามมิให้ภิกษุแสดงปาฏิหารย์อีกด้วย แต่พระองค์โปรดการแสดงอนุสาสนีปาฏิหารย์ คือให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพระธรรมมากกว่า

เหตุที่พระบรมศาสดาทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ที่นครสาวัตถี ก็เพราะเป็นที่ซึ่งพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนาองค์ก่อน ๆ เคยมาแสดงยมกปาฏิหารย์มาแล้วอย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่ง
 เนื่องจากพวกเดียรถีย์นิครนถ์ฉวยโอกาสที่พระพุทธองค์ห้ามพระสาวกแสดงอิทธิปาฏิหารย์ จึงท้าทายพระบรมศาสดาให้แสดงอิทธิปาฏิหารย์เป็นการแข่ง จนเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงประกาศว่า จะแสดง ยมกปาฏิหารย์ที่ใกล้นครสาวัตถี ในวันเพ็ญเดือน ๘ พวกเดียรถีย์รู้เข้าก็หาทางกลั่นแกล้ง เช่นพอรู้ว่าพระพุทธองค์จะทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ที่ใกล้ไม้คัณฑามพฤกษ์ คือต้นมะม่วง ก็เที่ยวหาซื้อและขุดทิ้งหมด
ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อนายอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่อคัณฑกะ สอยมะม่วงในอุทยานติดมือไปผลหนึ่ง เมื่อได้เฝ้าพระพุทธองค์กลางทาง จึงถวายมะม่วงผลนั้น พระพุทธองค์เสวยเนื้อมะม่วงแล้ว ให้นายคัณฑกะเพาะเมล็ดลงในดิน ทรงล้างพระหัตถ์รดบนเม็็ดมะม่วงนั้น ทันใดนั้นก็เกิดต้นมะม่วงงามสูง ๕ ศอก ออกลูกติดต้น ใครมาก็ได้กินทั่วกันเป็นอัศจรรย์




เวลานั้นประชาชนมาชุมนุมรอดูปาฏิหารย์ของพระพุทธองค์อย่างหนาแน่น พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ยมกปาฏิหารย์ คืิอ ปาฏิหารย์คู่ เช่นทำให้ไฟพลุ่งออกจากพระกายเบื้องบนน้ำพลุ่งออกจากพระกายด้านล่าง ไฟพลุ่งออกจากพระกายเบื้องหน้าน้ำพลุ่งออกจากพระกายเบื้องหลัง ไฟพลุ่งออกจากพระหัตถ์เบื้องซ้ายน้ำพลุ่งออกจากพระหัตถ์เบื้องขวา น้ำพลุ่งออกจากพระเนตรเบื้องขวา น้ำพลุ่งออกจากพระกรรณซ้าย ซึ่งพวกเดียรถีย์นิครนถ์ไม่มีปัญญาทำได้เลย

หลวงจีนฟาเหียนบันทึกไว้ว่า ได้เห็นสถูปหลายองค์ด้วยกัน องค์หนึ่งเข้าใจว่าจะเป็นองค์นี้ที่หลวงจีนว่า พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และทรงสร้างหลักสิลาไว้เสาหนึ่่ง หลวงจีนเล่าเรื่องอัศจรรย์ในสมัยนั้นว่า ที่สถูปนี้จะมีเสียงดนตรีสวรรค์บรรเลง บางทีก็มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปหมด

เมื่อพระบรมศาสดาทรงแสดงยมกปาฏิหารย์แล้ว ได้เสด็จขึ้นไปดาวดิงส์เทวโลก เพื่อเทศนาโปรดพุทธมารดาตามประเพณีของพระพุทธองค์ องค์ก่อน ๆ และทรงจำพรรษา ๑ พรรษาบนดาวดึงส์ เมื่อใกล้จะออกพรรษาทรงทราบว่า พระสารีบุตรอัครสาวกไปจำพรรษาอยู่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสะ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองสาวัตถี ๓๐ โยชน์ จึงตกลงพระทัยเสด็จจากดาวดึงส์ไปลงที่ เมืองสังกััสสะ ในวันออกพรรษาเทโวโรหณะนั้นเอง


ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.84000.org/tipitaka/picture/f63.html



ขอขอบคุณภาพจาก www.madchima.org

ขอขอบคุณข้อมูลจากสู่แดนพระพุทธองค์อินเดีย-เนปาล โดยพระราชรัตนรังษี ( ว.ป. วีรยุทฺโธ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น