ข้าพเจ้าชื่อกามนิต เกิดที่กรุงอุชเชนีอันเป็นนครที่มีภูเขาล้อมรอบอยู่ไกลไปทางใต้ในแคว้นอวันตี บิดาเป็นพ่อค้า แม้มีตระกูลไม่สูงศักดิ์เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นเศรษฐีมั่งมีมาก ท่านบิดาได้จัดให้ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาอบรมในศิลปวิทยาเป็นอย่างดี เมื่อข้าพเจ้ามีอายุอันควรแล้วก็เข้าพิธีสวมยัชโญปวีตสายธุรำมงคลพราหมณ์ตามลัทธิ เวลานั้นข้าพเจ้ามีวิชาความรู้อันควรแก่กุลบุตรอย่างเชี่ยวชาญที่สุด จนคนทั้งหลายเชื่อว่าข้าพเจ้าคงได้ศึกษามาจากมหาวิทยาลัยตักศิลาเป็นแน่แท้ ข้าพเจ้าสามารถใน มวยปล้ำ และ ฟันดาบ เสียงก็ไพเราะได้รับการฝึกฝนใน คันธรรพศาสตร์ อย่างชำนาญ ทั้งสามารถ ดีดพิณได้แคล่วคล่องเท่ากับนักดนตรีที่ลือชื่อ บรรดาโศลกในมหากาพย์ภารตะ และกาพย์อื่น ๆ ข้าพเจ้าก็สาธยายได้เจนใจ ซ้ำการประพันธ์ ฉันทพฤติวิธี ก็อาจ ร้อยกรอง ได้รวดเร็ว และมีข้อความไพเราะลึกซึ้ง ตกว่าวิชาใด ๆ อันควรแก่กุลบุตรจะต้องรู้ ข้าพเจ้าย่อมทราบได้อย่างดีเป็นที่สุด ดูก่อนท่านอาคันตุกะ อันวิชาความรู้ของข้าพเจ้านั้นเป็นที่พูดจนติดปากของประชาชนชาวอุชเชนีว่า "เชี่ยวชาญเหมือนมาณพกามนิตทีเดียว"
เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๒๐ ปี บิดาได้มอบหมายให้เป็นหัวหน้าคุมเกวียนสินค้าร่วมไปกับขบวนเกวียนของ ราชทูตของพระเจ้ากรุงอุชเชนี ที่ไปเจริญทางพระราชไมตรีกับ พระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี ซึ่งอยู่ไกลไปทางเหนือ ท่านบอกว่าพ่อมีสหายอยู่ในเมืองนั้นคนหนึ่งชื่อประนาท เคยไปมาหาสู่กันเสมอ เขาบอกพ่อไว้นานแล้วว่าถ้าเอาสินค้าเมืองเรา มี แก้วหิน ไม้จันทร์ผง เคริ่ืองจักสานและผ้า ไปขายที่กรุงโสัมพี จะได้กำไรงาม ที่พ่อไม่อยากนำสินค้าไปขายเพราะหนทางไกล ไปตามทางมีโจรผู้ร้ายชุกชุม แต่ทว่าถ้าได้ไปในพวกราชทูตแล้วเป็นอันปลอดภัย ลูกเอ๋ยเจ้าจงเตรียมตัวเถิดเข้าไปเลือกสินค้า ในโรงเก็บ บรรทุกเกวียนโคไปสัก ๑๒ เล่ม สมทบกระบวนของท่านราชทูตไป ของที่เอาไปขายนี้เมื่อขายได้ให้ซื้อผ้ากาสิกพัตร์ (ผ้าบางพาราณสี) และข้าวชนิดที่ดีกลับมา...... ข้าพเจ้า ได้ร่วมไปในขบวนของท่านราชทูต
ขอขอบคุณภาพจาก www.wanramtang.com
การเดินทางผ่านป่าใหญ่ในแดน เวทิส แล้วข้ามยอดเขาแห่งวินชัย จนบรรลุทุ่งกว้างใหญ่ฝ่ายเหนือ กระทำให้ได้รู้สึกว่าได้มาเห็นโลกใหม่อยู่ตรงหน้า ล่วงประมาณหนึ่งเดือนนับแต่ออกเดินทาง เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้ามองดูทางยอดดงตาลเห็นเป็นแถบทองขนาดใหญ่สองแถบ ดูประหนึ่งว่าคลี่คลายออกจากกันอยู่ตรงขอบฟ้าซึ่งแลเห็นเป็นหมอกอยู่สลัว ๆ และแล่นขนานกันมาเป็นเส้นบนภูมิภาคอันเขียวชอุ่มด้วยตฤณชาติ แล้วค่อย ๆ ใกล้กันจนที่สุดกันเป็นสายเดียวมีขนาดกว้างใหญ่
ท่านราชทูตบอกข้าพเจ้าว่า
"แถบทองนั่นคือ แม่น้ำยมุนา และ แม่คงคาอันศักดิ์สิทธิ์ที่กระแสน้ำทั้งสองมารวมกันตรงหน้าเราอยู่นีั้ "
ข้าพเจ้ายกมือขึ้นจบบูชา
ขอขอบคุณภาพจากสารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า
ท่านราชทูตกล่าวเสริมว่า
" ที่เจ้าแสดงความเคารพเช่นนั้นเป็นการดีแล้วเพราะแม่คงคา มาจากแดนแห่งทวยเทพอันอยู่ในกลางเขาซึ่งมีหิมะปกคลุมทางอุตรประเทศ แล้วไหลดุจกล่าวว่ามาจากสวรรค์ ส่วนแม่น้ำยมุนา นั้นไหลมาจากแดนอันขจรนามแต่กาลสมัยมหาภารตะ น้ำแห่งแม่น้ำยมุนานั้นย่อมล้นไหลผ่าน หัสดินปุระ ซึ่งปรักหักพังแล้วและท่วมลบ ทุ่งกุรุ ซึ่ง ปาณฑพพี่น้อง กับพวก เการพได้ทำสงครามเพื่อชิงชัยในความเป็นใหญ่ ณ ที่ตรงนั้น พระกฤษณะ้ป็นสารถีขับรถให้พระอรชุนและพระกรรณกำลังพิโรธอยู่ในค่าย แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เห็นจำเป็นต้องเล่าก็เห็นจะได้ เพราะเห็นว่าเจ้าเปรื่องโปร่งเจนใจอยู่แล้ว ตัวเราเคยยืนอยู่บ่อย ๆ บนแหลมที่เห็นอยู่โน้น มองดูแม่น้ำยมุนาอันมี สีเขียวไหลเป็นลูกระลอกลดหลั่นแข่งไปกับแม่น้ำคงคาซึ่งมี สีเหลือง ต่างสีต่างไหลไม่รวมกัน เขียวและเหลือง ได้แก่ กษัตริย์ และ พราหมณ์ อันอยู่ร่วมใน มหาสมุทร คือ วรรณะ ด้วยกัน ต่างจรร่วมทางไปสู่แดนแห่งพรหม บางคราวเข้ามาใกล้ชิดกัน บางคราวห่างกัน และ บางคราวก็ร่วมกันเป็นดั่งนี้นิรันดร เปรียบเหมือนแม่น้ำทั้งสองที่เห็นอยู่นี้ ครั้นแล้วเรารู้สึกว่าใจลอยแว่วคล้ายได้ยินเสียงรบ เสียงศัสตาวุธกระทบกัน เสียงเป่าเขาเร้าเร่งพล เสียงม้าร้อง เสียงช้างแปร๋แปร๋น หัวใจของเราก็ต๊๊กตั็กเต้นถี่เข้า เพราะรู้สึกว่าบรรพบุรุษของเราก็มาอยู่ที่นี่ด้วย และโลหิตของท่่านเหล่านั้นก็ไหลนองซึใไปในทรายแห่งทุ่งกุรุนี้ "
ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มในท่านราชทูต เงยหน้าขึ้นดูท่านซึ่งเป็นผู้อยู่ในวรรณะกษัตริย์ สืบตระกูลนักรบเป็นทายาทมา
ท่านราชทูตได้นำกามนิตไปดูภูมิประเทศที่พวกเขาจะไปถึง เดินอ้อมไปทางสุมทุมพุ่มไม้ พ้นออกไปเพียง ๒-๓ ก้าว ก็เห็นภูมิประเทศนั้นอยู่เบื้องตะวันออก มองไปทางหัวเลี้ยวแม่คงคา เห็น กรุงโกสัมพี ดูงดงามมาก เห็นกำแพงปราการบ้านเรือนสลับสล้าง ดูเป็นลดหลั่น มีเชิงเทินท่าน้ำท่าเรือต้องแสงแดดในเวลาอัสดงดูประหนึ่งว่าเป็น เมืองทอง ส่วนยอดปราสาทเป็นทองแท้ก็ส่งแสงดูดังว่ามี อาทิตย์อยู่หลายดวง ควันไฟสีดำแดงพลุ่ง ๆ ขึ้นจาก ลานเทวสถาน ถัดลงไปข้างล่างริมฝั่งน้ำ เห็นควันสีเขียวอ่อนลอยขึ้นมาจาก อสุภ ที่กำลังเผาในลำน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งฉายเงาแห่งสถานต่าง ๆ ลงไปเห็นกระเพื่อม ๆ มีเรือน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน มีใบ และ ธงทิวสีต่าง ๆ แลดูงามตา ตรงท่าน้ำเห็นอยู่ไกลประชาชนอาบน้ำอยู่มากมาย นาน ๆ ได้ยินเสียงคนพูดกันหึ่ง ๆ คล้ายเสียงผึ้ง
ขอขอบคุณภาพจาก
www.thongthailand.com
กามนิต กล่าวต่อ พระตถาคต ว่า "ขอให้ท่านผู้เจริญคิดดูเถิด ข้าพเจ้าคล้ายกับว่าได้มองเห็น เทวโลก ยิ่งกว่าได้เห็นเมืองมนุษย์ แท้จริง ลุ่มน้ำคงคา ทั้งหมดนี้มีความงามดูเป็น สรวงสวรรค์ อันปรากฎให้เห็นขึ้นแก่ตาข้าพเจ้า"
ในคืนนั้นเอง ข้าพเจ้าไปถึงเมือง และพักอยู่ที่บ้านท่านประณาทผู้สหายเก่าแก่แห่งบิดา
รุ่งเช้าตรู่ ข้าพเจ้ารีบไปยังท่าน้ำที่ใกล้ที่สุด เมื่อกำลังลงขั้นบันได รู้สึกเบิกบานใจ ไม่ทราบจะอธิบายได้อย่างไร เพราะได้มีโอกาสมาสนานกายในน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมิใช่แต่จะชำระล้างฝุ่นธุลีที่ติดต้องตัว เพราะไปเดินทางมานั้น ยังเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปมลทินให้หมดสิ้นไปได้ด้วย ข้าพเจ้าจึงไม่แต่อาบอย่างเดียว ได้เอาขวดไปบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับไปฝากท่านบิดาด้วย อนิจจา ! ขวดน้ำนี้หาได้ไปถึงท่านไม่ ด้วยเหตุไรจะได้ทราบภายหลัง
ถัดจากอาบน้ำแล้ว ท่านผู้เฒ่าประณาท ได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวตลาดในเมือง และอาศัยความช่วยเหลือของท่าน เพียง ๒-๓ วันเท่านั้นข้าพจ้าขายสินค้าที่บรรทุกมาได้หมด มีกำรอย่างงาม และกว้านซื้อสินค้าพื่นประเทศสะสมไว้เป็นจำนวนมากที่ชาวเมืองของข้าพเจ้านิยมให้ราคาสูง
เมื่อการค้าขายของข้าพเจ้าได้ผลดีอย่างเร็ววัน มีเวลาว่างเหลืออยู่มากกว่าท่านราชทูตจะกลับ ดั่งนี้รู้สึกดีใจมาก จะได้เที่ยวชมบ้านเมืองหาความสุขสำราญตามอำเภอใจได้บริบูรณ์
เวลางามยามบ่ายวันหนึ่งโสมทัตต์บุตรท่านประณาทที่คอยนำเที่ยว ได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวที่อุทยานนอกเมือง อุทยานนี้งามมากตั้งอยู่ริมฝั่งอันสูงของแม่คงคา มีต้นไม้ใหญ่ครึ้ม มีสระบัวขนาดใหญ่ มีศาลาที่พักอาศัย และซุ้มมะลิเลื้อย ซึ่งในเวลานั้นประชาชนต่างพากันไปเที่ยวหาความสำราญใจกันเกลื่อนกล่น ข้าพเจ้าและโสมทัตต์นั่งบนชิงช้า มีคนคอยรับใช้อแกว่งไกวให้ รู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย ในขณะได้ยินเสียงนกโกกิลาปะหรอดเทศร้องระงม