วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557
สู่แดนพระพุทธองค์ ๑๑๔ พระอานนท์ ๙
พญามารวัสวดีทูลเชิญเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.phutthathum.com/พระพุทธเจ้า/ปรินิพพาน/หน้า-2
การที่พระพุทธองค์ ทรงรับนิมนต์ปลงอายุสังขาร เนื่องจาก
ข้อแรก เพราะธรรมวินัยของพระพุทธองค์ ได้ประดิษฐานลงอย่างมั่นคงแล้ว
ข้อสอง พระอานนท์ไม่ได้ขอให้พระองค์เจริญอิทธิบาท ให้อยู่ตลอดกัป หรือเกินกัป(ก่อนปลงอายุสังขาร)
ข้อสาม บุพกรรมของพระพุทธองค์ในอดีต ส่งผลให้พระองค์มีอายุแค่ ๘๐ ปี
เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร คือ ทรงประกาศกำหนดวันจะเสด็จปรินิพพานไว้ล่วงหน้า ถึง ๓ เดือน
ซึ่งการปลงมายุสังขารของพระพุทธองค์ ก่อให้เกิดความวิปริตแปรปรวนแก่โลกธาตุทั้งสิ้น มหาปฐพีมีอาการสั่นสะเทือน ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่นในอากาศ หมู่มวลแมกไม้แกว่งไกวด้วยแรงพายุแล้วกลับสงบนิ่ง ท้องนภากาศ กลายเป็นสีแดงเพลิงประดุจโลหิต หมู่มวลสรรพสัตว์ร้องระเบงเซ็งแซ่สนั่นหวั่นไหว
พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก สังเกตเห็นความวิปริตแปรปรวนของโลกธาตุดังนี้จึงออกจากร่มไม้ไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทูลถามถึงเหตุที่ทำให้เกิดอัศจรรย์นี้
ขอขอบคุณภาพจากwww.oknation.net
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่เคยมีมามีขึ้น แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้ แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้จริงๆ ความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย สำหรับให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
กถาว่าด้วยเรื่องแผ่นดินไหวใหญ่
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพระอานนท์ เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการเหล่านี้แล เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ๘ ประการเป็นไฉน ฯ
ดูกรอานนท์ มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ สมัยที่ลมใหญ่พัด เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ย่อมยังน้ำให้ไหว น้ำไหวแล้ว ย่อมยังแผ่นดินให้ไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หนึ่ง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต หรือว่าเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เขาเจริญปฐวีสัญญาเพียงเล็กน้อย เจริญอาโปสัญญาอย่างแรงกล้า เขาย่อมยังแผ่นดินนี้ให้สะเทือนสะท้าน หวั่นไหวได้ อันนี้เป็นปัจจัยข้อที่สอง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มีสติสัมปชัญญะ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สาม เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สี่ เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ห้า เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตให้อนุตรธรรมจักรเป็นไป เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หก เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุสังขาร เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่เจ็ด เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว อันนี้เป็นเหตุเป็น ปัจจัยข้อที่แปด เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
ดูกรอานนท์ เหตุ ๘ ประการ ปัจจัย ๘ ประการ เหล่านี้แล เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
ขอขอบคุณภาพจากwww.84000.org
พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์ว่า ที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ในวันนี้ เกิดจากพระองค์ทรง ปลงอายุสังขาร
พอได้ฟังดังนั้น พระอานนท์นึกได้ ว่าพระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกท่านว่า ธรรมะ ๔ ข้อที่เรียกว่า อิทธิบาท ๔ คือ ความพอใจ ความเพียง ความฝักใฝ่ และความใตร่ตรอง ถ้าผู้ใดได้บำเพ็ญปฏิบัติให้เต็มเปี่ยมแล้ว ปรารถนาจะให้ชีวิตซึ่งถึงกำหนดดับหรือตาย ได้มีอายุยืนยาวต่อไปอีกระยะหนึ่งก็ย่อมทำได้
พอนึกได้เช่นนี้ พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากจึงกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ ให้ทรงใช้อิทธิบาท ๔ นั้น ให้ดำรงพระชนมชีพอยู่ตลอดกัปหนึ่งเพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก
พระอานนท์กราบทูลวิงวอนถึง ๓ ครั้ง พระบรมศาสดาได้ตรัสห้ามว่า พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้พระอานนท์กราบทูลอารธนาถึง ๓ ครั้งแล้ว พระอานนท์ไม่เข้าใจเอง เมื่อทรงปลงอายุสังขารแล้ว (คือตั้งใจกำหนดวันปรินิพพาน) ไม่สามารถแก้ไขเป็นอย่างอื่นได้ พระพุทธองค์ตรัสต่อว่า
ขอขอบคุณภาพจากwww.madchima.org
พร้อมกันนั้นได้ตรัสพระธรรมเทศนาแก่พระอานนท์ว่า
“ ดูก่อนอานนท์ เราได้บอกมาแต่ต้นแล้วว่า บรรดาสัตว์ หรือสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา(สังขาร) ซึ่งเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งหมดทั้งสิ้น ย่อมต้องพลัดพราก มีอันเป็นไปต่างๆ ไม่คงถาวรอยู่ได้ตามที่เราต้องการ ของสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยนแปลงที่เที่ยงแท้แน่นอน ที่เหล่าสัตว์ประสงค์อยากได้นั้น ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนๆ สิ่งใดมีปัจจัยต่างๆ ทำให้เกิดมา สิ่งนั้นก็ต้องสิ้นสูญไปเป็นธรรมดา การร่ำร้องทะยานอยากไปว่าขอสิ่งเหล่านั้นอย่าเสื่อมสูญไปเลย เป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้ ” “ ดูก่อนอานนท์ สิ่งใดที่พระตถาคตได้สละแล้ว ปล่อยแล้ว ละแล้ว วางแล้ว จะให้เปลี่ยนเอากลับคืน เพราะเห็นแก่ชีวิต เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://dhammaweekly.wordpress.com/2011/01/24/ความสำเร็จของพญามาร-พระ/
http://www.trueplookpanya.com/true/ethic_detail.php?cms_id=8870
http://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=2194
ป้ายกำกับ:
[บทความ]
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น