ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm
ในคืนที่พระราหุลประสูติ เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงเปล่งวาจาว่า “ราหุลํ ชาตํ พนฺธนํ ชาตํ” แปลว่า “บ่วงเกิดขึ้นแล้ว พันธนาการเกิดขึ้นแล้ว”
จึงทรงปลุกนายฉันนะให้เตรียมม้ากัณฐกะ พาพระองค์ผู้ที่อยากจะข้ามพ้นจากวัฎฎะสงสาร ออกจากพระราชวัง พระองค์ทรงม้ากัณฐกะพร้อมด้วยนายฉันนะเสด็จสู่ฝั่งแม่น้ำอโนมา
ทรงปลงพระโมลี ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้น แล้วสั่งให้นายฉันนะเอาเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องทรงในวรรณะกษัตริย์ พร้อมทั้งม้ากัณฐกะกลับไปยังพระราชวัง เพื่อกราบทูลแก่พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา
ครั้งนั้นนายฉันนะกราบทูลขอติดตามพระองค์ แต่พระองค์ทรงห้ามไว้
แต่ขณะที่นายฉันนะเดินทางกลับนั้น ด้วยความรักความผูกพันที่ม้ากัณฐกะมีต่อพระองค์ ม้ากัณฐกะไม่สามารถทนต่อการพลัดพรากจากพระองค์ได้ ม้ากัณฐกะจึงอกแตกตาย
นายฉันนะก็เดินร้องไห้กลับไปยังพระราชวัง แล้วนำเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องทรงกษัตริย์ของเจ้าชายสิทธัตถะถวายแก่พระเจ้าสุทโธทนะ แล้วกราบทูลต่อพระเจ้าสุทโธทนะ
ขอขอบคุณภาพจาก http://www.kidsdee.org/biography-of-Lord-Buddha.php
หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และทรงบำเพ็ญพระบารมีได้ระยะหนึ่ง พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้กาฬุทายีอำมาตย์ ไปทูลเชิญพระพุทธองค์เสด็จกลับวัง เพื่อโปรดพระประยูรญาติ ในครั้งนั้น มีพระประยูรญาติหลายพระองค์เสด็จออกบวชตาม รวมทั้งนายฉันนะด้วย เพราะเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธองค์
นายฉันนะเป็นผู้ที่คิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับพระพุทธองค์ รับใช้ใกล้ชิดสนิทสนมกลมเกลียว
และสิ่งที่ฉันนะภูมิใจมากก็คือ ในคืนที่ตนพาพระพุทธองค์ขณะที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ออกผนวชได้
พระฉันนะเอาแค่ถือตัวถือตน ไม่ยอมทำตามผู้ใดแม้แต่พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย ตลอดถึงพระพุทธองค์เอง พระฉันนะก็ไม่ยอมประพฤติตามทำให้หมู่สงฆ์หนักใจ
ขอขอบคุณภาพจากhttp://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/08/Y10951852/Y10951852.html
ท่านพระฉันนะนั้นมักว่ากระทบกระแทกพระอัครสาวกทั้งสองว่า
"เราเมื่อตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์(ออกบวช)กับพระลูกเจ้าของเราทั้งหลายในเวลานั้น มิได้เห็นผู้อื่นแม้สักคนเดียว,
แต่บัดนี้ ท่านพวกนี้เที่ยวกล่าวว่าเราชื่อสารีบุตร,เราชื่อโมคลัลลานะ, พวกเราเป็นอัครสาวก."
พระพุทธองค์ทรงสดับข่าวนั้นแต่สำนักภิกษุทั้งหลายแล้วก็ทรงตรัสเรียกพระฉันนะมาอบรม พระพุทธองค์ตรัสกับพระฉันนะ โดยตรัสเตือนว่า
"ฉันนะ ชื่อว่าอัครสาวกทั้งสองเป็นกัลยาณมิตร เป็นสัตตบุรุษชั้นสูงของภิกษุทั้งหลาย, เธอจงเสพ จงคบกัลยาณมิตรเห็นปานนี้"
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
น ภเช ปาปเก มิตฺเต น ภเช ปุริสาธเม
ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ ภเชถ ปุริสุตฺตเม.
บุคคลไม่ควรคบปาปมิตร ไม่ควรคบบุรุษต่ำช้า
ควรคบกัลยาณมิตร ควรคบบุรุษสูงสุด.
ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.kunkroo.com/catalog.php?idp=91
ฝ่ายพระฉันนเถระ แม้ได้ฟังพระโอวาทแล้ว ก็ยังด่าขู่พวกภิกษุอยู่อีกเหมือนก่อนนั่นเอง.แม้พวกภิกษุก็กราบทูลแด่พระพุทธองค์อีก. พระพุทธองค์ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรามีชีวิตอยู่พวกเธอจักไม่อาจเพื่อให้ฉันนะสำเหนีกได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานแล้วจึงอาจ”
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว หลังจากนั้นพระฉันนะก็ยังคงทำท่ายโสโอหังด้วยทิฏฐิมานะอย่างดื้อด้านเช่นเดิม วันใดที่เดินผ่านพระสารีบุตรหรือพระโมคคัลลานะ พระฉันนะก็ยังคงพูดจาแบบเดิม
พระพุทธองค์ทรงเรียกพระฉันนะมาเตือนอยู่ถึง ๓ ครั้ง
พระฉันนะไม่เคยเชื่อฟังนะ แต่เพียงแต่จะแสดงลับหลังพระพุทธองค์
ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงดับขันธ์ พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
“อานนท์ จงลงพรหมทัณฑ์ฉันนะเสีย ขณะที่เรายังคงมีชีวิตอยู่ ฉันนะจะไม่เชื่อฟัง หลังจากที่ตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ให้พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทำพรหมทัณฑ์พระฉันนะ”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=16&p=3 http://kraap-blogspot.com/2012/09/blog-post_9.html
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/20254 https://www.facebook.com/meritgroup.vichee/posts/657326287626720
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น