วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

[นิทานเรื่องเล่า] ...อาณาจักรแห่งท้องฟ้า...


[นิทานเรื่องเล่า] ...อาณาจักรแห่งท้องฟ้า...
เขียนโดย : เจ้าหญิงน้อย


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... บนอาณาจักรแห่งท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล เป็นที่อยู่ของเหล่าเทพต่างๆมากมาย แต่ละวันเทพแต่ละองค์ก็มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ท้องฟ้าที่เราเห็นมีความต่างกันในทุกวัน

ในเช้าวันที่มีแดดจัดจ้า...จะเป็นวันที่เทพแห่งแสงตะวันตื่นขึ้นมาทำงานอย่างแข็งขัน
ในวันที่มีลมพัดแรง...เป็นเพราะเทพแห่งสายลมกำลังวิ่งแข่งกับเทพแห่งก้อนเมฆอยู่บนฟ้า
และในวันที่มีฝนตกลงมา...ก็เป็นเพราะว่าเทพแห่งสายฝน กำลังกลั่นน้ำฝนจากก้อนเมฆ

“สายฝนทำให้พื้นแผ่นดินชุ่มฉ่ำ ต้นไม้ผลิใบ น้ำในลำธารรินไหลหลังจากแห้งขอดมานาน” เทพแห่งสายฝนพูดพลางมองลงไปยังผืนแผ่นดินเบื้องล่างอย่างภาคภูมิใจ

“สายฝนทำให้เด็กๆไม่สบาย ทำให้เฉอะแฉะออกไปไหนก็ไม่ได้” เทพแห่งแสงตะวันซึ่งตอนนี้หลบอยู่หลังเมฆดำก้อนใหญ่บ่นแล้วจามเสียงดังถึงสามครั้งติดต่อกัน

“แต่เด็กๆก็มีความสุขเวลาได้เล่นน้ำฝนใช่ไหม และถ้าหากเล่นน้ำฝนแล้ว อาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งสะอาดก็คงไม่เป็นไร” เทพแห่งสายฝนเถียง

“สายฝนทำให้เฉอะแฉะ เด็กๆจะออกไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้” เทพแห่งแสงตะวันยืนกราน

“อย่าเอาคนอื่นมาอ้างเลย ท่านต่างหากที่ออกไปเที่ยวไหนไม่ได้ เวลาที่ฝนตก พระอาทิตย์อย่างท่านก็ต้องหลบเข้าหลังก้อนเมฆไป และท่านก็คงกลัวว่าเด็กๆจะชอบสายฝนและอากาศที่เย็นชื่นใจมากว่าแสงแดดร้อนๆของท่าน”


เทพแห่งสายฝนคงจะเริ่มโกรธขึ้นมาแล้วเหมือนกัน เพราะระหว่างที่เถียงกับเทพแห่งแสงตะวันนั้น ฟ้าก็ร้องครืนคราม และมีสายฟ้าสว่างวาบลงมา ฝนก็ตกหนักจนมืดมัวไปทั้งฟ้า...

“ใครบอกว่าเรากลัวท่านล่ะ ยังไงๆซะเด็กๆก็ต้องชอบวันที่มีแดดจัดจ้าและได้ออกมาเล่นกันที่สนามเด็กเล่นมากกว่าวันฝนตกเป็นไหนๆ” เทพแห่งแสงตะวันเถียงและพยายามหนีออกมาจากเมฆก้อนใหญ่เพื่อจะส่องแสงของตนลงมาบ้าง

“ถ้าเล่นตากแดดนานๆ เด็กๆก็ไม่สบายได้เหมือนกัน พวกผู้ใหญ่ถึงต้องห้ามไม่ให้เด็กๆออกมาตากแดดไง”
เทพแห่งสายลมยังไม่ยอมแพ้

“ท่านคงไม่เคยได้ยินเวลาที่มีคนบ่นตอนฝนตก แล้วทำให้พวกเขาเปียกสินะ” เทพแห่งแสงตะวันว่าเทพแห่งสายฝนอย่างเยาะเย้ย

“ท่านก็คงไม่เคยได้ยินเวลาชาวนาร้องตะโกนท่ามกลางสายฝนอย่างดีใจ” เทพแห่งสายลมเถียงกลับไป แล้วทั้งคู่ก็ยังคงเถียงว่าใครดีกว่ากัน จนเทพแห่งก้อนเมฆที่ฟังอยู่ข้างๆอดรนทนไม่ได้

“นี่พวกท่านจะเถียงกันไปทำไม ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็มีข้อดีที่ต่างกันไป สายฝนทำให้ผืนแผ่นดินชุ่มฉ่ำ ข้าวในนางอกงาม ดอกไม้ผลิบาน ต้นไม้ผลิใบ” เทพแห่งสายฝนพยักหน้ารับคำของเทพก้อนเมฆอย่างพอใจ

“ส่วนแสงแดดก็ทำให้อากาศแจ่มใส ต้นไม้สร้างอาหารได้ ทำให้ผ้าบนราวแห้งและมีกลิ่นหอมจางๆ” คราวนี้เป็นเทพแห่งแสงแดดที่เป็นฝ่ายพยักหน้ารับบ้าง

“ทุกอย่างล้วนมีข้อดีด้วยกันทั้งนั้น แต่อะไรที่มากจนเกินไปก็ไม่ดีได้เหมือนกัน ถ้าเด็กๆเล่นน้ำฝนหรือตากแดดนานๆก็จะทำให้เป็นไข้ ถ้าฝนตกหรือแดดออกมากเกินไป ชาวนาเองก็ทำนาไม่ได้ ยิ่งถ้าพวกท่านมาทะเลาะกันเองแบบนี้ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ดูท่านสิเทพแห่งสายฝน ตอนนี้ท่านทำให้ฝนตกเหมือนฟ้าจะถล่มทลาย” เทพแห่งก้อนเมฆสรุปปิดท้าย และเตือนให้เทพแห่งสายฝนสำนึกได้ ว่าตัวเองไม่ควรจะโกรธใครแบบนั้น ฝนที่ตกหนักจึงค่อยๆซาลงกลายเป็นสายฝนที่หล่นพรำ...

“ขอโทษด้วยนะเทพแห่งแสงตะวัน จริงๆแล้วเรารู้ดีว่าแสงของท่านมีประโยชน์มากมาย เราไม่น่าไปว่าท่านอย่างนั้นเลย” เทพแห่งสายฝนกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ

“ไม่เป็นไรๆ เราเองก็ไม่น่าไปว่าท่านก่อน ในเมื่อท่านก็ต้องทำหน้าที่ของท่าน เราเองก็ต้องขอโทษท่านเหมือนกัน” เทพแห่งแสงตะวันบอก

“เอาล่ะ เมื่อขอโทษกันแล้วก็ดีกันนะ” เทพแห่ก้อนเมฆบอกแล้วลอยผ่านไป เหลือเพียงเทพแห่งแสงตะวันที่กำลังส่งยิ้มให้เทพแห่งสายฝนอย่างแจ่มใส

หากใครสักคนมีโอกาสเงยหน้ามองฟ้าในวันนั้น... คงจะมองเห็นภาพที่แสนจะประทับใจ เพราะท่ามกลางสายฝนอันอ่อนโยนที่กำลังพรำสาย มีแสงตะวันฉายอยู่อย่างสดใสและที่ขอบฟ้าไกลออกไป มีรุ้งกินน้ำที่แสนงดงามทอดโค้งข้ามฟ้าถึงสองสาย...

นั่นคือเครื่องหมายแสดงความดีใจกับมิตรภาพระหว่างเทพทั้งสอง...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น