วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

[บทความ] รุกขเทวา....และนางไม้...

รุกขเทวาและนางไม้


ดอกบัวสวรรค์

สังสารวัฏ หรือวัฎสงสาร คือภพภูมิที่มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา มี 31 ภพภูมิ
คือ สัตว์นรก อสูรกาย เปรต เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา (มี 6 ชั้น) รูปพรหม (มี 16 ชั้น) อรูปพรหม มี 4 ชั้น)

ทุกครั้งที่ผู้เขียนเข้าปฎิบัติธรรม ของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในวันสุดท้ายก่อนออกจากกรรมฐาน หลักสูตร ที่มีพระอาจารย์เป็นผู้สอนปฎิบัติ ประธานโครงการ คือ พ.ต.อ. นรวัฒน์ เจริญรัชต์ภาคย์ จะนำผู้เข้าปฎิบัติ ที่ปฎิบัติอย่างเข้มข้น 7 วัน บ้าง 15 วันบ้าง ถวายบุญกุศลทั้งปวง แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ ก่อนเป็นอันดับแรกของพิธีการปิดโครงการทุกครั้ง (และทุกโครงการของ ยุวพุทธ ฯ ก็ปฎิบัติเช่นนี้ทุกโครงการ ทุกหลักสูตร และทุกครั้ง ) หลังจากนั้นก็เป็นพิธีการโดยพระอาจารย์ ทุกครั้งพระอาจารย์ก็จะนำผู้ปฎิบัติธรรมอุทิศผลบุุญกุศล ให้แก่ มารดา บิดา ครูบาอาจารย์ ฯลฯ (ซึ่งเป็นมนุษย์ ไล่เรียงจากผู้มีพระคุณ ก่อน และไล่เรียงไปเรื่อยๆ ) และแน่นอนว่า เชิญ พรหมทุกชั้นทุกองค์ เทวดา ทุกชั้น ทุกองค์ มาอนุโมทนารับบุญกุศล แล้ว ก็ไปยังหมู่สัตว์ ทุกตัวตน
ผู้เขียนกราบเรียนถามพระอาจารย์ถึง ภพภูมิ ที่อยู่เหนือชั้นมนุษย์ขึ้นไป ที่เรามองไม่เห็น ว่า เป็นอยู่อย่างไร พระอาจารย์ตอบว่า ในจักรวาลนี้ ภพภูมิเหล่านั้นมีมิติของภพอยู่เหลื่อมซ้อนกับโลกมนุษย์เรานี่เอง มองไม่เห็นด้วยสายตามนุษย์ธรรมดา แต่มนุษย์ที่มีบางอย่างพิเศษ เช่น พลังพิเศษ และสมาธิ ฌาน ของผู้ปฎิบัติธรรม จะสื่อรับได้


ดอกมณฑาทิพย์
สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดอันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6ชั้น

เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดา เพราะได้สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์

วิมานปราสาท คือ ที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิดขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย
ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 37 เรื่อง ทานสูตร



ดอกปาริชาติ
เป็นต้นไม้ทิพย์ที่ว่ากันว่าอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น ผู้ได้กลิ่นปาริชาติจะระลึกชาติได้
สำหรับบนโลกมนุษย์ ก็ตือต้นทองหลางด่าง หรือทองหลางลายไม่มีกลิ่น ไม่มีการกล่าวว่าถ้าได้กลิ่นแล้วเป็นอย่างไร

สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น มีชื่อเรียกดังนี้
ชั้นที่ 1 สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ชั้นที่ 2 สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ชั้นที่ 3 สวรรค์ชั้นยามา
ชั้นทีี่ 4 สวรรค์ชั้นดุสิต
ชั้นที่ 5 สวรรค์ชั้นนิมมานรดี
ชั้นที่ 6 สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี




นางฟ้า

การที่ได้เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีจากหลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญไม่ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสมบุญ นานๆทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ

สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า มีท้าวมหาราช 4 พระองค์ ปกครองคือ

ท้าวธตรัฏฐะ
อยู่ทิศตะวันออก ปกครอง คันธัพพเทวดา

ท้าววิรุฬหกะ
อยู่ทิศใต้ ปกครอง กุมภัณฑเทวดา

ท้าววิรูปักขะ
อยู่ทิศตะวันตก ปกครอง นาคเทวดา

ท้าวกุเวระ หรือ ท้าวเวสสุวัณ
อยู่ทิศเหนือ ปกครอง ยักขเทวดา

ท้าวมหาราชทั้ง 4 องค์นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลกด้วย จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่”



สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา (ชั้นที่ 1) แบ่งตามสถานที่อยู่อาศัยได้ 3 ประเภท

1. ภุมมัฏฐเทวดา
อยู่บนพื้นแผ่นดิน อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น บ้าน วัด เจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร เป็นต้น
เทวดาบางองค์ก็มีวิมานของตนอยู่ ณ ที่นั้น ๆ โดยเฉพาะ
องค์ใดไม่มีก็ถือเอาสถานที่นั้นเป็นที่อาศัย เช่น บ้าน วัด ศาลา ภูเขา แม่น้ำนั้นเป็นที่อยู่ของตน

2. รุกขัฏฐเทวดา
อยู่บนต้นไม้ มี 2 จำพวก พวกหนึ่งมีวิมานอยู่บนต้นไม้ อีกพวกหนึ่งอยู่บนต้นไม้แต่ไม่มีวิมาน

3. อากาสัฏฐเทวดา
อยู่ในอากาศ เทวดาจำพวกนี้มีวิมานเป็นของตนเองลอยหมุนเวียนไปรอบ ๆ เขาสิเนรุ

แต่ละวิมานประกอบไปด้วยรัตนะ 7 อย่าง คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ววิเชียร เงิน ทอง ไม่เท่ากัน บางวิมานมีเพียง 1-2 รัตนะ บางวิมานก็มีมาก สุดแต่บุญกุศลที่ตนได้เคยสร้างเอาไว้

เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกานี้ บางพวกมีหน้าที่ต้องคอยดูแลรักษามนุษย์

ภูตผี เทวดา และสัตว์ที่อยู่ในจาตุมหาราชิกานี้มีหลายชั้น หลายจำพวกมาก ทั้งพระภูมิเจ้าที่ ผีบ้านผีเรือน สัมภเวสี รุกขเทวดา นางไม้ ยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ รากษส นาค ครุฑ เหล่านี้ล้วนอยู่ในจาตุมหาราชิกาภูมิทั้งสิ้น

สัมภเวสี
คือผู้ที่เร่ร่อนแสวงหาที่เกิด บางพวกเป็นผู้ที่ตายโดยยังไม่หมดอายุขัย เช่น ตายด้วยอุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม บางตนต้องเป็นสัมภเวสีอยู่อย่างนั้นหลายปีจนกว่าจะสิ้นอายุขัย จึงจะไปเกิดในภพภูมิอื่นได้

คันธัพพเทวดา
ได้แก่เทวดาที่ถือกำเนิดอยู่ในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม และจะอาศัยอยู่ในเนื้อไม้นั้นตลอดไป แม้จะถูกตัด ถูกโค่น เอาไปทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ส่วนใดที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งจะติดตามอาศัยอยู่กับส่วนนั้น เรียกว่า นางไม้ ซึ่งต่างกับรุกขเทวดาตรงที่ หากมีผู้ทำลายต้นไม้ที่ตนอยู่หรือต้นไม้นั้นตายรุกขเทวดาก็จะย้ายวิมานไปอยู่ต้นไม้อื่น



สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
จาก www.bloggang.com/viewblog.php?id=thammakittakon&date

ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงเพียง เทวดา ในสวรรค์ ชั้นที่ 1 และเพียงบางองค์
รุกขัฏฐเทวดา
เป็นเทวดา อันประจำอยู่บนต้นไม้ ทั้งที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้และไม่มีวิมาน ต้นไม้ที่จะเป็นที่สถิตย์ของ รุกขเทวดา มักเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ เช่นต้นโพธิ์ ไทร ไกร กร่าง ตามแต่บรรดานกจะนำพาต้นไม้เหล่านี้มาเจริญเติบโต ตามพื้นภูมิต่าง ๆ อีกทั้งต้นไม้อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร มักเป็นไม้ป่าขนาดใหญ่ ท่านก็อยู่สุขสงบดีมาช้านาน ทั้งที่มีวิมานและไม่มีวิมาน ต่อมามนุษย์ก็เริ่มตัดไม้ทำลายป่า ทั้งโดยถูกกฎหมายและลักลอบตัด มาตลอด เป็นเวลาที่ยาวนาน คันทัพพเทวดาที่กำเนิดอยู่ต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมจะติดตามมากับส่วนที่แข็งแกร่งของไม้นั้น เช่นไม้ตะเคียน เป็นที่กล่าวชวัญว่าส่วนใหญ่เป็นนางไม้ พลังของนางไม้ก็จะขึ้นกับชนิดของต้นตะเคียนซึ่งมีหลายพันธุ์ ไม้ตะเคียนเป็นไม้ที่นิยมนำมาขุดเป็นเรือยาว ซึ่งนับว่าเป็นเรือขุดที่มีพิธีกรรมและขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย ทั้งในป่าอันเป็นที่อยู่ของต้นไม้ ต้องอัญเชิญ นางไม้ มาอยู่ที่ศาลเพียงตา ก่อนการต้ดไม้ เมื่อเบิกขุดเรือ ก็ต้องทำกันที่วัด จนเสร็จก็จะอัญเชิญนางไม้เป็นแม่ย่านางประจำเรือ นอกจากเป็นขวัญกำลังใจประจำเรือยาวที่สร้างไว้เพื่อการแข่งขันเป็นส่วนใหญ่แล้ว ก็คือเป็นที่สถิตย์อยู่ของบรรดานางไม้ประจำต้นไม้ ไม่ต้องระเหเร่ร่อนหาที่อยู่ใหม่ ( มีรายละเอียดในเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรือยาว ในบทความตอนต้น ๆ)

ดังนั้น ไม้ตะเคียนที่สูงใหญ่หากถูกตัดโดยไม่ได้นำมาขุดเป็นเรือ หากนำแกนไม้มาทำเสา นางไม้ก็จะอยู่ที่เสาไม้เหล่านั้น มักมีคำเล่่าลือว่า เสาไม้ตะเคียน บางบ้านตกน้ำมัน ยิ่งหากเสาไม้ตะเคียนที่ตกน้ำมัน เป็นเสาเอกของบ้าน ก็จะยิ่งมีอาถรรพ์แรงขึ้นอีก หากไม้ตะเคียนที่ตัดมาจากป่า นำต้นไม้มาแปรรูปเป็นไม้กระดานแผ่น นางไม้ประจำต้นตะเคียนจะไปสิงสถิตย์อยู่ ณ ที่ใดกัน
และรุกขเทวดา ที่สามารถย้ายวิมานไปต้นไม้อื่นๆ ได้ แต่ลองหลับตานึกเอาว่าเทวดาเหล่านี้จะกล้าย้ายวิมาน ไปสู่ไม้ใหญ่ต้นอื่น ๆ หรือไม่ เพราะเป็นการ ไปยื้อแย่งวิมานกัน ก็ดูจะเป็นเทวดา เกเรในสวรรค์ หากไม่ยื้อแย่งวิมานหรือต้นไม้ต้นอื่น รุกขเทวดาเหล่านี้จะไปอยู่ที่ใดกัน รอต้นไม้ใหม่เติบใหญ่ขึ้นมาก็ใช้เวลานานมาก ต้นไม้ป่าบางต้นอายุ สี่สิบห้าสิบปี ต้นไม่ใหญ่เลยอาจจะมีความสูงแต่ความใหญ่ของลำต้น ช้ามาก เคยอ่านพบว่า ไม้บางต้นที่มีแกนในเป็นวงรอบลำต้น หนึ่งวงใช้เวลา หนึ่งปี ไม้มีร้อยวงคือมีอายุ ร้อยปี แม้ว่าวันเวลาของโลกมนุษย์และโลกสวรรค์จะแตกต่างกันมาก คือโลกสวรรค์จะมีช่วงเวลายาวนานกว่าโลกมนุษย์มาก รุกขเทวดาเหล่านี้ ก็ไร้ วิมาน ไร้ที่อยู่ อยู่ชั่วระยะหนึ่งอยู่ดีนั่นเอง
ไม้ใหญ่ในโลกมนุษย์เกิดใหม่ไม่ทันกับการจะเติบโต เป็นวิมานของรุกขเทวดา และนางไม้ ซึ่งไม่ได้เข้าไปอยู่ในป่าหิมพานต์ได้ ท่านจะอยู่อย่างไร อยู่ที่ไหน



บัวสวรรค์เริ่มเต่งตูม
ต้นบัวสวรรค์เป็นไม้พุ่ม ปลูกไว้เกือบสิบปีแล้วออกดอกหลายครั้งแต่ไม่เคยถ่ายภาพไว้เพราะปลูกไว้ไกลบ้านพอเห็นดอกก็กลีบโรยแล้วทุกที

ผู้เขียนได้อ่านและได้ฟังเรื่องราวของพระราชสิทธาจารย์ ( หลวงปู่ทองใบ ปภสฺสโร) ) แห่งวัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม) อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ดังนี้

ปี 2527 -2528
ขณะเจริญภาวนาอยู่ภูหลวง จ.เลย ได้มีเทพธิดาทั้งสี่ จากภูย่าอู่มานิมนต์ ให้ไปอยู่สร้าง บารมีที่ภูย่าอู่ 9 มกราคม 2529 หลวงปู่เดินทางมายังภูย่าอู่ พร้อมศิษยานุศิษย์ประกอบ ด้วย พระภิกษุ 5 รูปสามเณร 2 รูปอุบาสก 2 อุบาสิกา 14 ครั้งแรกที่มาถึง ได้ปักกรดบริเวณทางเดินจงกรมในปัจจุบัน (ข้างกุฏิหลวงปู่) และได้สร้างกระต๊อบเล็กๆด้วยไม้ไผ่ พออยู่ไปก่อน มืด และหนาวมาก ออกบิณฑบาต ตั้งแต่ตี 4 เดินลงเขาไปด้วย ความยากลำบาก ไปยังบ้ายสว่าง ระยะทางไปกลับ 16 กม
ต่อมา

ได้ขุดบ่อลึก 1.50 เมตร เพื่อต้องการน้ำดื่มน้ำ ใช้ ก็มีน้ำออกมาให้ใช้จริงๆแต่ใช้ได้เพียง 15 วันน้ำก็หมด" ด้วยบารมีของหลวงปู่แน่เชียว " หลวงปู่เล่าต่อว่า คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านเจริญภาวนาอยู่ ปรากฏเห็นเป็นเด็ก อายุประมาณ 8 ขวบ และพูดคุย เกียวกับปัญหา เรื่องขาดแคลนน้ำ เพราะขณะนั้นภายในวัดปลูกพืชผัก ผลไม้ไว้กินเอง จำเป็นต้องมีน้ำไว้ใช้เด็กน้อยนั้นก็เอยปากตกลงช่วย จากนั้นบ่อที่แห้งสนิทก็กลับมีน้ำมาให้ใช้ตลอดมา

เดิมที่วัดนี้มีลานไทรคู่อันเป็นบริเวณสังเกตุที่นางฟ้าได้บอกจุดของภูย่าอูนี้ไว้ ต้นไทรนี้สูงใหญ่มาก ต่อมาได้ล้มไป 1 ต้น ก่อนที่จะล้ม มีนางไม้ได้มาลาหลวงปู่ ว่า ต้องไปแล้ว แล้วต้นไทรใหญ่อายุหลายร้อยปีก็ล้มลงตามหลักสัจจธรรมของพระไตรลักษณ์
บนภูย่าอูนี้ มีไม้ใหญ่มาก เวลาผู้เขียนเดินผ่านจะรู้สึกแปลก ๆ จะถ่ายรูป ยังรู้สึกต้องขออนุญาตเจ้าของต้นไม้ก่อนประมาณนั้นทีเดียว

บัวสวรรค์

และมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นไม้ที่ดงพญาไฟ ต่อมาเเปลี่ยนเป็นดงพญาเย็น และต่อมาก็คือเขาใหญ่

เมื่อปี พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟสายยาวที่สุด เชื่อมกรุงเทพฯ กับภาคอีสาน มีช่างวิศวกรผู้มีความสามารถทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ร่วมกับกรรมกรไทยสร้างทางผ่านป่าดงพญาไฟ รวมเวลาได้ 7 ปี มีระยะทาง 171 กิโลเมตรครึ่ง ถึงลาดบัวขาว (เดิมชื่อลาดหัวขาว) บรรดาช่างวิศวกรกรรมกรต่างพร้อมใจกันเสียชีวิตเกือบหมดสิ้น เพราะไข้ป่ามาลาเรีย การสร้างจึงหยุดเพียงนี้ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีหมายกำหนดการที่จะทรงเปิดทางรถไฟสายนี้ ดังมีคำจารึกไว้ข้างทางรถไฟความว่า 'ที่หมายในการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเปิดทางรถไฟทำถงที่นี้ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พทธศักราช 2441'
เมื่อพระองค์ทรงทราบถึงการเสียชีวิตของนายช่างวิศวกรชาวไทย และชาวต่างประเทศ ตลอดถึงกรรมกรสร้างทางทุกคน ทรงสลดพระทัย ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้โดยทั่วกัน ขณะเสด็จกลับทางรถไฟ ผ่านป่าใหญ่ดงดิบ (บริเวณที่เป็นเขื่อนลำตะคองวันนี้) ถึงสถานีรถไฟปากช่อง ทรงมีรับสั่งถามว่า ป่านี้มีชื่อว่าอะไร มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กราบทูลว่า ชื่อป่าดงพญาไฟ พระองค์ทรงสนพระทัยมาก มีรับสั่งว่าป่านี้ชื่อน่ากลัวจริงนะ แล้วตรัสว่าให้เปลี่ยนนามใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล ชื่อ ป่าดงพญาเย็น เพื่อจะได้ร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้คนในวันหน้า

หากเป็นเรื่องเล่าของกรมป่าไม้เองที่เล่าสืบทอดกันมาก็คือ ผู้คนที่เป็นคยลงมือตัดไม้ใหญ่มักจะเสียชีวิตตามมาเป็นประจำ จนผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าตัดต้นไม้ ความทราบถึงพระพุทธเจ้าหลวง จนทรงตั้งอธิษฐานว่า ผืนป่าแห่งนี้เป็นดินแดนของพระองค์ การตัดไม้เหล่านี้เพื่อเป็นการทะนุบำรุงบ้านเมืองสร้างความอยู่ดีมีสุขให้ประชาชนของพระองค์ทรงขอให้รุกขเทวดา นางไม้ทั้งหลายยินยอมให้กระทำการได้โดยสะดวก ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าหลวงกอรปกันการบอกกล่าวเจ้าของต้นไม้ การเข้าไปตัดไม้ในเวลาต่อมาด้วยการนำตราครุฑ ประทับที่ต้นไม้ก่อนการลงมือตัดไม้ จึงทำให้ ไม่มีการเสียฃีวิตของคนลงมือตัดไม้ และในที่สุดก็สามารถสร้างทางรถไฟได้สำเร็จ เรื่องนี้ถือเป็นตำนานของกรมป่าไม้เล่าสู่่กันมา


บัวสวรรค์เริ่มแย้มกลีบ

กับเรื่องล่าสุด ประมาณ เดือนนี้เอง
มีชาวบ้านผู้หนึ่งออกจากบ้านไปลักลอบตัดไม้ ในป่าบนเขา ของจังหวัดหนึ่งไม่ไกลกรุงเทพฯนัก หายไป 4-5 วัน จนต้องมีการออกตามหา พบว่า ชายผู้นี้เสียชีวิตที่ริมหนองน้ำ คว่ำหน้าที่หนองน้ำจากการสันนิษฐานของตำรวจ คือน่าจะโดนแรงอัด จากการระเบิดของปืนของตนเอง สันนิษฐานว่าคงจะยิงอะไรสักอย่าง อาจเป็นสัตว์หรืออื่น ๆ แล้วเสียหลักคว่ำหน้าลงที่หนองน้ำ
แต่เรื่องจริง อิงคาดการณ์ของผู้คนละแวกนั้น ตือ ชายผู้นี้ ถือเลื่อยยนต์เข้าไปแอบตัดไม้ บนเขาที่อยู่เหนือหนองน้ำนี้ขึ้นไป มีไม้มีค่าต้นใหญ่ ถูกเลื่อยยนต์ ตัดล้ม หลายต้น สุดคาดเดาว่าเขามาที่หนองน้ำที่อยู่ห่างจากบริเวณที่ตัดไม้เพราะเหตุ หิวน้ำ มาหาหนองน้ำ หรือมีเหตุจูงใจอื่น เช่น พบสัตว์ที่พอใจอยากไล่ลาจึงตามสัตว์นั้นลงมา แล้วยกปืนยิงสัตว์นั้นเพราะอยากได้กลับมาที่หมู่บ้าน หรือหนีสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงมา แล้วยิงทำร้ายสิ่งนั้น สุดจะคาดเดากันไป ตามแต่จินตนาการของผู้คน หรือคนเขียน หรือผู้อ่าน จะจินตนาการเอา แต่สรุปว่าเขาตายเพราะละโมบโลภมากโขมยเข้าไปตัดไม้นั่นเอง



บัวสวรรค์เบ่งบาน

ดังนั้นเหล่ารุกเทวดา และนางไม้ มากมาย ที่ถูกปวงมนุษย์ หลายเชื้อชาติ หลายศาสนา หลายประเทศ ทั่วมุมโลก ทำลาย วิมาน ทำลายที่อยู่ ปล่อยให้ เทวดาในสวรรค์ชั้นที่ ๑ จาตุมหาราชิกา มากมายไม่มีที่อยู่

วันนี้เทวาเหล่านี้กำลังลงโทษมวลมนุษย์ที่ล่วงล้ำก้ำเกินสิทธิ์ของเทวา จนมวลมนุษย์มากมายต้องจากถิ่นบ้านตัวเองเช่นกัน
พระคุณเจ้าหลายองค์พูดตรงกันว่าขณะนี้ เทวดาเบื้องบนลงโทษมนุษย์บาป หลวงปู่พระราชสิทธาจารย์ท่านกล่าวว่าน้ำเท่านั้นที่จะใช้ชำระล้างสิ่งสกปรกสิ่งบาปให้สะอาดได้ และน้ำนั้นอย่างไรเสีย ก็เย็นและไม่เดือดร้อน เท่าไฟ น้ำท่วมก็ดีกว่าไฟไหม้ บ้านเรือนทรัพย์สินก็เสียหายน้อยกว่า ความทุกข์ยากก็น้อยกว่า
ผู้เขียน กราบเรียนถามหลวงปู่พระราชสิทธาจารย์ว่า การลงโทษมนุษย์บาปจิตใจหยาบช้า เป็นกลุ่มใหญ่แบบนี้ ทั้งคนบาปและคนดี ก็รับผลลงโทษกันถ้วนหน้า ผู้คนที่เป็นคนดี หากอยู่รวมใกล้คนบาปก็มิอาจหลีกเลี่ยงผลกรรมนี้ไปด้วย พระคุณเจ้าตอบว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมของตนเอง แม้ว่าในชาตินี้จะเกิดเป็นคนดีประกอบแต่ความดีมาตลอด แต่ภพชาติก่อนหน้าชาตินี้นั้น หลายร้อยหลายพันชาติภพ ก็ไม่รู้ว่าได้ทำบาปกรรมอะไรไว้แต่ชาติไหน หนไหน ก็อาจถูกบาปกรรมแต่ชาติปางก่อน ตามมาทันในชาตินี้ ดังนั้นผู้คนก็จะรับกรรมลดหลั่นกันไป ใครทำบาปกรรมในชาตินี้มากและเป็นกรรมร้ายแรง ก็จะรับทุกข์มากกว่าผู้คนที่ทำความดีมีบาปเล็กน้อย



บัวสวรรค์บานรับแสงตะตัน


ก็ขอส่งกำลังใจ เพื่อนพี่น้องคนไทย ว่าอย่าท้อแท้ อย่าอ่อนแอกับเคราะห์กรรมที่กำลังเผชิญหน้าในขณะนี้ ท่านเป็นคนดี ประกอบแต่ความดีมาตลอด ความดีที่ย่อมเป็นเกราะคุ้มครองภัยท่าน แม้ขณะนี้ต้องรับเคาระห์กรรมของน้ำท่วม ก็ถือว่าใช้หนี้กรรมเก่าในชาติก่อนให้หมดไปเสีียแต่ชาตินี้เลย อย่าน้อยใจว่าความดีไม่ช่วยท่านเลย ท่านชดใช้ผลกรรมแต่ปางก่อนให้หมดไปแล้ว ต่อไป กรรมดีก็จะส่งผลท่านเองตามมาในวันหน้า ชาติหน้า
กรรม คือการกระทำ กระทำไปแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงได้ ต้องรับผลกรรมนั้นอยู่ดี ทางเดียวที่ทำให้หนีกรรมนั้นได้ ก็คือสร้างแต่กรรมดีหนีกรรมเก่า ให้กรรมเก่าวิ่งตามความดี กรรมดีของท่านไม่ทัน หากมีบุญบารมีได้หลุุดพ้นวัฎสงสาร ได้เร็ว กรรมเก่า ก็วิ่งตามมาไม่ทัน
แม้พระพุทธองค์ เมื่อทรงตรัสรู้แล้วจะเสด็จปรินิพพานเลยก็ได้ แต่พระองค์ทรงมีพระเมตตาที่จะสั่งสอนมวลสัตว์โลกให้รู้หนทางไปสู่นิพพานไม่ต้องมาเวียนว่ายในวังวนของสังสารวัฎ 31 ภพภูมิอีก เช่นพระองค์
ตลอดพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์ ทรงถูกกรรมเก่าด้วยพระโรค ตามคำศัพท์ชาวบ้านง่ายๆ คือ ทรงมีโรคปวดหลัง เป็นทุกข์ที่พระองค์ทรงอยู่กับโรคนี้มาตลอดพระชนม์ชีพ บางครั้งกรรมนี้รุนแรงจนไม่อาจทรงประทับนั่ง มีหลายครั้งหลายครา ที่พระองค์ไม่อาจแสดงพระธรรมเทศนาโปรดสัตว์ได้ ต้องให้พระอรหันต์องค์อื่นแสดงธรรมแทนพระองค์ แล้วพระพุทธองค์ ทรงประทับสีห์ไสยาศน์อยู่เบื้องหลังพระอรหันต์ที่กำลังแสดงธรรมนั้นอยู่
คูณน้าที่เป็นนายแพทย์ เล่าว่า ท่านเคยเห็นภาพวาดของพระพุทธองค์ทรงใช้ไม้เท้าขณะทรงพระราชดำเนินอยู่ แต่ผู้เขียนยังไม่เคยได้พบเห็นภาพเช่นนี้
แม้พระโมลคัลลานะจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย เหาะเหินเดินอากาศได้ ยังยอมถูกโจรทุบจนกระดูกแหลก เพื่อชดใช้กรรมเก่าให้หมดสิ้นไปก่อนนิพพาน เป็นอีกตัวอย่าง

พลอยโพยมขอส่งกำลังใจให้ผู้เดือดร้อนประสบภัยน้ำท่วมทุกท่านค่ะ
ข้อมูลสวรรค์และภาพ จาก www.dmc.tv และ www.bloggang.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น