วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไปกราบหลวงปู่ ทองใบ ปภฺสสโร (พระราชสิทธาจารย์)

บทความนี้เป็นการเล่าสู่กันอ่านในการไปกราบหลวงปู่ทองใบ เรื่องเล่าค่อนข้างยาว



เนื่องจาก พลอยโพยมมีพี่ชาย 2 คน คนโต ได้บวชเป็นพระภิกษุหลังสิ้นบุญแม่ละม่อม เมือปลายปี 2553
พี่ชายคนโตกับน้องชาย เป็นผู้ดูแลแม่ละม่อมหลังจากหกล้มขาหักเดินไม่ได้ตั้งแต่อายุ 87 แม่ละม่อมสิ้นบุญเมื่ออายุ 93 ปี ( คุณยายของพลอยโพยมทั้งยายขาและยายเล็ก ท่านอายุ 96 ปี ดูเหมือนว่าแม่ละม่อมจะอายุสั้นไปในความรู้สึกของลูก ๆ )
พี่ชายคนนี้ดูแลทุกอย่าง อาบน้ำ พยุงเดิน เปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเวลากลางคืน แต่งตัว ตัดผม ตัดเล็บ ถ่าย และปัสสาวะในห้องส้วม ปัสสาวะบนเตียง ...ดูแลทุกอย่างที่แม่ละม่อมทำเองไม่ได้นั่นเอง รวมถึงเป็นคนนอนหน้าเตียงแม่ละม่อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดูแลอารมณ์จิตใจให้แม่เพลิดเพลินในแต่ละวันฝึกสมองแม่ให้คิดโน่นคิดนี่ บวกตัวเลขบ้าง เย้าแหย่แม่ให้หัวเราะทุกวัน แม่ละม่อมเป็นคนแก่อารมณ์ดีมีมุขตลกกับเราบ่อย ๆ เช่น



พี่ชายชอบถามแม่ละม่อมว่า แม่รู้อะไรไหม
แม่ละม่อมจะตอบว่า รู้
พอถามว่า ยังไม่ทันถามเลยแม่รู้เหรอว่าจะถามอะไร
แม่ละม่อมตอบว่า แม่รู้ทุกเรื่องแหละไม่ว่าจะถามอะไรมา


แม่ละม่อมของพลอยโพยมเก่งจริง...เวลาถามบางเรื่อง แม่จะใช้คำว่า แม่ลืม จำไม่ได้ ไม่มีการตอบว่า แม่ไม่รู้ (ก็เราเลือกคำถามกับแม่ไว้แล้ว ว่าต้องเป็นเรื่องที่แม่รู้...)

บางที่พี่ชายก็ ถามแม่ว่า
แม่วันนี้เป็นวันพุธ พรุ่งนี้ก็เป็นวันพฤหัส ถัดไปเป็นวันศุกร์ แล้ววันต่อไปแม่ว่าเป็นวันอะไร
แม่ละม่อมก็ตอบถูก
หรือบางที่ พี่ชายก็จะคุยว่า
แม่วันนี้เป็นวันพุธ พรุ่งนี้ก็เป็นวันพฤหัส ถัดไปเป็นวันศุกร์ แล้ววันต่อไป ก็เป็นวันจันทร์ ใช้ไหมแม่
แม่ละม่อมจะบอกว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่ วันศุกร์ แล้วก็ต้องเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ก่อนแล้วจึงจะวันจันทร์


หรือไม่ก็ให้แม่ละม่อม บวก เลขในใจ ไม่เกิน สิบ
เป็นวิธีการแก้เหงาและฝึกการใช้สมอง ของพี่ชาย ทำให้กับแม่ละม่อม




เวลากินช้าว พี่ชายก็มานั่งกินใกล้ ๆ กับโต๊ะกินข้าวของแม่ กินไปคุยไป ชะโงกดูโต๊ะแม่ พูดว่า
ดูหน่อยซิ แม่กินข้าวกับอะไร (ทั้งที่ตัวเองเป็นคนจัดถาดอาหารมา)
แม่ละม่อมก็จะบอกกับข้าวว่ามีอะไรบ้าง
บางอย่างแม่ก็บอกว่า ไอ้นี่มันเป็นอะไรล่ะ
พี่ชายก็จะบอกว่าเป็นอะไร จากนั้นก็ชี้ชวนแม่ว่า
โอ๊ยกับข้าวแม่น่ากิน ขอแบ่งกินบ้างซี
แม่ละม่อมก็จะบอกว่า เอาซี อยากกินอะไร ก็แบ่งไป
พี่ชายเชาก็ตักมานิด ๆ หน่อย ๆ เป็นพิธี


เรียกได้ว่า เวลากินข้าวของแม่ละม่อม เป็นช่วงเวลาเพลิดเพลินใจของแม่ละม่อมกับลูกชายคนโต
สองคนแม่ลูกน่าเอ็นดูจริง ๆ
เวลาพี่ชายคนโตไปปฎิบัติธรรมบางครั้งนาน 15 วัน 90 วัน แม่ละม่อม จะค่อนข้างเหงา เพราะลูกคนอื่น ทำไม่ได้อย่างพี่ชายคนโตนั่นเอง นั่งนับวันกลับตั้งแต่ไปไมีกี่วันเลยที่เดียว คอยถามว่าวันนี้วันที่เท่าไร อีกกี่วันลูกชายคนโตจะกลับมา จนบอกได้ว่าพรุ่งนี้ลูกชายจะกลับมาแล้ว..



พี่ชายสอนแม่ละม่อม ปฎิบัติวิปัสสนา ขาดแต่การเดินจงกรม แม่ละม่อมนั่งสมาธิได้วันละเกิน 1 ชั่วโมง ออกจากสมาธิ ก็สวดมนต์ แผ่เมตตา พี่ชายคนโตก็จะสอบถามแม่ละม่อมว่า เกิดอะไรบ้าง รู้สึกอะไรบ้าง เห็นอะไรบ้าง ในระหว่านั่งสมาธิ ก็ถูกต้องตามที่ ครูบาอาจารย์ สั่งสอนเรามา
ที่สำคัญ คือ พี่ชายคอยย้ำกับแม่ละม่อมว่า คนเราทุกคนต้องตาย แม่ก็ต้องตาย ตี๋เองก็ต้องตาย (ชื่อพี่ชายคนโต) แม่ท่องไว้นะว่าเราต้องตายแน่ ๆ แม่อย่ากลัวความตาย ความตายมารออยู่ใกล้ ๆ วันที่แม่รู้ว่าจะตาย แม่ต้องจำวิธีปฎิบัติวิปัสสนา ที่แม่กำลังฝึกอยู่ นอกจากเป็นการสะสมบุญแล้ว ยังเป็นการเตรียมตัวไปสู่ความตายที่มีสติก่อนตาย

เมื่อแม่ละม่อมป่วยเข่้าห้อง ไอซียู พี่ชายปฎิบัติเข้มในเพศฆราวาส ที่วัดนาหลวง 90 วัน เมื่อรับข่าวก็ไปกราบหลวงปู่ขอลงมาดูแลแม่ละม่อม
หลวงปู่บอกว่า
แม่ละม่อมสิ้นอายุขัยแล้ว แต่ยังพอมีเวลาอีกระยะหนึ่ง ให้ลงมาทำหน้าที่ลูกกตัญญูู นำพาแม่ไปสู่หนทางสุคติ
หลวงปู่สอนว่าให้ พี่ชายน้อมนำใจแม่ละม่อมให้ระลึกถึงบุญกุศลที่แม่เคยทำไว้ ตลอดเวลา




เราได้ทำหน้าที่ อยู่ เกือบสี่สิบวัน
พี่ชายบอกแม่ละม่อมว่า
แม่ ...บ้านเก่าของแม้ในขณะนี้ชำรุดทรุดโทรมมากซ่อมแซมก็ไม่ได้ดีแล้ว มีแต่ผุพังลงทุกวันเสื่อมโทรมลงทุกวันไปเรื่อย ๆ แม่ทำบุญกุศลมีกุศลไว้มากมาย แม่เอาบุญกุศลของแม่ เก็บใส่กระเป๋าหิ้วไปขึ้นบ้านใหม่ ที่สวยงามร่มเย็นของแม่เถิด แม่อย่าอาลัยอาวรณ์บ้านเก่าผุพังนี้เลย

หลังจากนั้นพี่ชายก็ลำดับ บุญกุศลที่แม่ทำไว้ ลำดับไป..ถามแม่ละม่อมไปว่า...แม่จำได้ไหม ถ้าจำได้ให้แม่ละม่อมบีบมือที่เรากุมมือแม่ไว้ตอบรับ หรือพยักหน้ารับถ้าแม่พยักหน้าได้ ผลคือ ได้รับการตอบสนอง ในการจาระไน ถึงบุญที่แม่ละม่อมทำไว้และพวกเรานึกออก และพาแม่สวดมนต์โดยบอกให้แม่นึกสวดในใจ ตามคำสวดนำของพี่ชาย พี่ชายก็สวดนำช้า ๆ ด้วยบทสวดมนต์ที่แม่เคยสวด จบแล้วก็แผ่เมตตาให่ตัวเอง แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ให้เจ้ากรรมนายเวร



พลอยโพยม สรุปกับแม่ว่า
แม่บุญเหล่านี้เป็นอริยทรัพย์ของแม่ ที่แม่สามารถเอาติดตัวไปได้
แต่แม่ต้องหมั่นระลึกถึงตลอดเวลา
แม่นึกได้แม่ก็ได้หิ้วอริยทรัพย์ ไปกับตัวทันที
ถ้าแม่ไม่นึกไว้ตอนเดินทาง แม่ต้องรอกระเป๋าอริยทรัพย์ของแม่นี้ตามไปที่หลัง นะแม่..

แม่ออกจากห้องไอซียูมาอยู่ห้องปกติ ได้ 2-3 วัน กำหนดว่าได้กลับบ้าน พี่ชายก็ยังทำเหมือนเดิม ลำดับเรื่องทำบุญไปใส่เรื่องเสริมกับแม่ไป เช่น
แม่น่ะชอบทำปลาหมึกยัดไส้เป็นประจำเลย พอเปิดปิ่นโต หรือเอาชามปลาหมึกยัดไส้ถวายพระ พระท่่านต้องนึกว่า โยมละม่อมเอาปลาหมึกยัดไส้มาถวายพระอีกแล้ว....



แม่ละม่อมหัวเราะเห็นเหงือกแดง ถูกอกถูกใจเหลือเกิน
เป็นภาพที่เราจดจำอารมณ์นี้ของแม่ละม่อมไม่ลืมเลือน
ถ้าเป็นบุญอื่น เช่น ให้ทุนนักเรียน สร้างโน่นสร้างนี่ที่วัด แม้แต่ สร้างพระพุทธรูปถวายวางบนแท่นในโบสถ์หน้าพระประธาน แม่ละม่อม ก็จะตอบว่า จำได้ จำได้ซี... แล้วพี่ชายก็พาแม่สวดมนต์ แผ่เมตตา ต่อ

แล้วก็พลิกผัน
แม่ละม่อมจากไป หลังจากกลับบ้านได้ 3 ชั่วโมงตามคำร้องขอตอนสี่ทุ่ม จัดขั้นตอนเสร็จ กลับบ้านตอนเที่ยงคืน พอตีสาม กลับเข้าโรงพยาบาลใหม่ ซึ่งใกล้บ่้าน ใช้เวลาเรียกรถพยาบาลภายในครึ่งชั่วโมงถึงโรงพยาบาล และนอนโรงพยาบาลอีก หนึ่งวันหนึ่งคืน แม่ละม่อม ก็หิ้วกระเป๋าบุญกุศลไปขึ้นบ้านใหม่
จัดงานเสร็จเสร็จเรียบร้อย พี่ชายคนโตกลับไปปฎิบัติธรรมต่อเพราะหลวงปู่อนุญาตว่าเป็นการขาดช่วงปฎิบัติเพราะลงมาทำหน้าที่ลูกกตัญญู ไม่ถือเป็น การขาดพรรษา



เมื่อไปกราบหลวงปู่
หลวงปู่ ก็ชมเชยว่า เป็นลูกกตัญญูทำให้แม่เอาอริยทรัพย์ติดตัวไปได้ ดีกว่าการให้เงินล้าน หลาย ๆ ล้าน กับแม่เสียอีก โยมแม่ ไปอยูที่เย็น...สบาย..ในขณะนี้ โยมเป็นลูกดีมาก ทำหน้าที่ได้ดีมาก

ก่อนลงจากภูย่าอู่ รอบแรก ท่านใช้คำว่าให้แม่น้อมรำลึกบุญกุศลที่ตนเองทำไว้ตลอดเวลา แต่พลอยโพยม ใช้คำว่าอริยทรัพย์กับแม่ทุกวันก่อนสาธยายรายละเอียดการทำบุญของแม่

ปัจจุบันพี่ชายคนนี้บวชได้ 2 พรรษา โดยจำพรรษาที่วัดสุขศรีงามและปฎิบัติธรรมสมถะ ดูลมหายใจ (ซึ่งวัดสุขศรีงามเป็นวัดสาขาของวัดนาหลวง) อยู่ที่อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
โดยเวลานอกพรรษา พระพี่ชายคนโต ก็หิ้วกระเป๋าไปปฎิบัติธรรมสายพองยุบอยู่กับโครงการต่างๆของยุวพุทธิกสมาคมซึ่งปฏิบัติในโครงการพระสงฆ์ล้วน
และขณะนี้ท่านไปปฏิบัติธรรมโครงการของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ที่วัดงุยเตาอู กัมมัฏฐาน รัฐฉาน ประเทศพม่า ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2555 มีกำหนด 7 เดือน



พี่ชายคนที่สองของพลอยโพยม เป็นผู้ได้ไปกราบหลวงปู่ทองใบเป็นคนแรกในแวดวงของพลอยโพยม เพราะพี่สะใภ้เริ่มป่วย และแสวงหาการกราบไหว้พระอริยสงฆ์ มีผู้แนะนำไปกราบและฟังธรรมหลวงปู่ที่ภูย่าอู หลวงปู่ก็บอกพี่สะใภ้ให้เร่งทำกุุศลเพราะจะหมดอายุขัยเมื่ออายุ 56 ปี

พี่สะใภ้ของพลอยโพยมป่วยเป็น มะเร็งที่ไขกระดูก
โดยไขกระดูกผลิตเซลล์ที่จะพัฒนาไปเป็นเกร็ดเลือดมากผิดปกติและตัวไขกระดูกมีพังผืดเกาะติด
ทางการแพทย์เรียกโรค AMM วิทยาการทางการแพทย์ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงการรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น
ผลของโรคทำให้ตับและม้ามโต มีภูมิต้านทานต่ำ
ต่อมากก็ติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดอักเสบรุนแรง และท้ายสุดระบบหัวใจล้มเหลว
พี่สะใภ้เสียฃีวิตเมื่อ อายุ ได้ 55 ปี 6 เดือน เมื่อ ปี พ.ศ. 2552




พี่ชายคนที่สองก็นำทองรูปพรรณ เกือบสามสิบบาท ของพี่สะใภ้และเงินจากส่วนราชการหลังจากจัดสรรให้น้อง ๆ ของพี่สะใภ้ ไปทำบุญกับวัดนาหลวง และกลับมาเล่าเรื่องหลวงปู่ทองใบ จนพี่ชายคนโต และพลอยโพยมรวมทั้งลูก ๆ หลาน ๆ ของพลอยโพยม ไปกราบหลวงปู่ หลายครั้ง

ในปีนี้ พี่ชายคนที่สอง จะเกษียณอายุราชการ ได้ไปฟังธรรมที่วัดนาหลวง เพราะกำลังสับสนวุ่นวายในจิต หลวงปู่เทศน์เหมือนให้กำลังใจ โดนใจ พี่ชายคนที่สอง ให้ยึดคำสอน สี่ ข้อ ในการดำเนินชีวิต คือ
1. ให้อภัย
2. ใจเย็น
3. เป็นมิตร
4.จิตสงบ




กลับลงมา พี่ชายก็พยายามดำเนินชีวิต ใน 3 ข้อแรก จนถึงข้อสี่ ก็ศรัทธาแรงกล้าที่จะบวช พระพี่ชายคนโต ทราบข่าวก็บอกพลอยโพยมว่า ต้องเร่งดำเนินการให้พี่ชายคนที่สองบวชทันที ก่อนที่ศรัทธาตัวนี้จะถอยลง ลดลง ให้เกลี้ยกล่อมลาออกมาบวชทันที อย่าเสียดายการเกษียณงาน พลอยโพยม ก็ลุ้นเต็มที่เกรงศรัทธาพี่ชายคนที่สองจะหาย ไป หรือลดลง ก็ดูจะไม่ราบรื่น เพราะพี่ชายมีงานติดพัน ห่วงงาน และพี่ชายคนนี้เคยบวชเต็มพรรษามาแล้ว เมื่อครัั้งรับราชการใหม่ ๆ และครบเวลาลาบวชได้ แต่เป็นการบวช ที่เพียงแต่บวชจิง ๆ ไม่ใช่บวชเรียน

ในที่สุดแรงใจจากพระพี่ชายคนโตก็ส่งให้ พี่ชายคนที่สองได้บวชก่อนเข้าพรรษา โดยไปทำงานจนวันศุกร์สุดท้ายของเดือนและครองผ้าพระภิกษุในวันอาทิตย์ ทันเข้าพรรษา และไปจำพรรษา ที่วัดสุขศรีงาม ในกุฎิหลังเดียวกับพระพี่ชายคนโตเคยจำพรรษา มาก่อน
เป็นการบวช ที่ได้ปฎิบัติธรรม แม้จะเป็นสายการปฎิบัติแบบสมถะ โดยยึดอารมณ์แน่วแน่ที่การดูลมหายใจ แต่ก็เป็นการบวชที่ทรงคุณค่าในชีวิต ต่างจากการบวชครั้งแรกมากมาย



พระพี่ชายคนที่สองได้พบเห็นว่าทางวัดได้ก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรมโดยดำเนินการก่อสร้างลงฐานรากและขึ้นเสาโครงเหล็กของศาลาไว้แล้ว แต่เนื่องด้วยขาดปัจจัยที่จะดำเนินการก่อสร้างต่อการก่อสร้างจึงค้างอยู่ ซึ่งทางวัดกำลังวิตกว่าโครงเสาเหล็กที่สร้างค้างไว้หากไม่ดำเนินการสร้างให้เสร็จโดยเร็วเหล็กจะเป็นสนิมทำให้โครงสร้างไม่แข็งแรง หลวงพ่อเจ้าอาวาส บอกว่าน่าใช้งบประมาณ สองแสนบาท จะดำเนินการได้




พระพี่ชาย ก็โทรศัพท์มาบอกให้พลอยโพยม จัดเงินในบัญชีของพระพี่ชาย เตรียมโอนไป แต่พลอยโพยมกราบเรียนท่านว่า อย่าถวายเงินหลวงพ่อ เฉย ๆ เลย น่าจะจัดผ้าป่าให้ญาติพี่น้องได้ร่วมบุญ และขอให้วัดนิมนต์อาราธนาหลวงปู่เป็นองค์รับผ้าป่าโดยเลิอกกำหนดการทอดกฐินที่วัดสุขศรีงามได้นิมนต์อาราธนาหลวงปู่ลงมารับกฐินไว้แล้ว แต่กำหนดวันทอดกฐินเลื่อนออกไปเพราะมีคนมาขอเป็นเจ้าภาพร่วมเพิ่มและขอเลื่อนวันเป็นวันที่ 25 พ.ย.

พลอยโพยมก็ไม่นึกฝันว่าหลวงปู่จะมีเมตตา มาเป็นองค์ประธานรับผ้าป่ากองเล็ก ๆ กองเดียว เป้าหมายเป็นปัจจัยให้วัด เพียงนิดหน่อย




จึงได้เกิดกำหนดการทอดผ้าป่าของพระพี่ชายขึ้น ประมาณ 1 เดือน ก่อนวันทอดผ้าป่า ซึ่งเป็นการประสานงานทางโทรศัพท์จาก พระพี่ชาย ในการบอกบุญ ทางอีเมล์ ไปยัง กลุ้มผู้ร่วมงาน เพื่อน ๆ ที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยกันมา ผู้เกี่ยวข้องที่ท่านทราบว่าศรัทธาเรื่องการบุญ แจ้งทางโทรศัพท์กับญาติพี่น้องคนรู้จักที่สนิทชิดเชื้อ โดยมีเป้าหมายสำหรับญาติพี่น้องว่า เป็นการบอกบุญในการมากราบหลวงปู่ทองใบ หามงคลใส่ตน การทำบูญด้วยเงินซึ่งตามหลักเราเรียกว่า บริจาคทานเป็นเรื่องรอง ใครไม่มาก็ไม่ต้องฝากเงินมาร่วมผ้าป่า เพราะมิได้บอกบุญเรื่องผ้าป่า



จนกระทั่งถึงวันสุกดิบของการทอดผ้าป่า

หลวงปู่เดินทางมาถึงวัดสุขศรีงามตอนบ่าย และมีเทศน์ให้ญาติโยมฟัง เวลาประมาณ 2 ทุ่ม กลุ่มคนที่แจ้งกับพลอยโพยมว่าจะมากราบหลวงปู่ตอนกลางคืน มาถึงกันพร้อมหมดแล้ว ขาดแต่กลุ่มเพื่อนที่เคยร่วมงานของพลอยโพยมเอง 5 คน ที่ออกเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ 3 โมงเย็นวันศุกร์ที่ 2 พ.ย โดยยึดเส้นทางตามที่มีในเว็ปไซต์เข้าทางสระบุรี เราโทรศัพท์ถึงกันเป็นระยะจนพลอยโพยมวิตกว่าพวกเขาจะมาไม่ทันหลวงปู่เทศน์จบ คณะเพื่อนชุดนี้นี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯเลย เพราะมีผู้บริหาร 2 คนต้องไปร่วมประชุมของหน่วยงานที่สัตหับ ขึ้นรถ 6 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น
พลอยโพยมตั้งอธิษฐานจิต ขอให้เพิ่อน ๆ มาทัน และโทรบอกให้เพื่อน ๆ คณะเดินทางตั้งอธิษฐานจิตเองด้วย ตอนหนึ่งทุ่ม ยังอยู่เขตสระบุรีอยู่นั่นเองเพราะหลงทางไม่มาตามที่แม่ครัวของวัดอธิบายทางลัด ทางตรงสั้นที่สุดให้



จนหลวงปู่เทศน์ที่เรือนรับรองที่วัดสุขศรีงามสร้างถวายไว้โดยเฉพาะ ผู้คนมากันจนรู้สึกว่ามีคณะทอดผ้าป่าประมาณหนึ่งในสี่เองของผู้ฟังธรรม
ที่เรือนรับรองนี้อยู่เขตสงฆ์ อยู่บนเนินสูงคนและเขตกับแนวเขตฆราวาสที่เราอยู่กันตอน บ่าย ๆ ถึงเย็น ซึ่งเป็นแนวราบ
พลอยโพยม ไม่มีสมาธิฟังธรรม เปิดโทรศัพท์มือถือแบบไม่มีเสียงไว้

เกือบสามทุ่มแล้ว มีสัญญาณเข้า พลอยโพยม จึงถอยออกมาซึ่งยากลำบากกับการผ่านผู้คนที่เขาสงบนิ่งฟังธรรมของหลวงปู่ ในใจพลอยโพยมคิดว่าหลวงปู่คงทราบว่า ผู้หญิงคนนี้กำลังทำอะไรจึงกล้าถอยออกมา
จนสุดแถวสุดท้าย รออีกหลายอึดใจจึงมีสัญญาณมาอีก ได้ความว่าเข้าวัดไม่ถูก เพราะการตั้งป้ายบอกทาง ติดเลยทางเข้าจริงพลอยโพยมให้เขาถอยรถมา และให้เลี้ยวทางก่อนมีป้ายบอกเลี้ยว เพื่อน ๆ เองเขาก็ร้อนใจที่พลอยโพยมไม่รับโทรศัพท์ ตั้ง 5-6 สาย




สามทุ่่มเศษ เพื่อนก็มาถึงนั่งสุดท้ายปลายโด่ง ฟังธรรมตอนปลาย ๆ ได้ ประมาณยี่สิบนาทีก็จบการแสดงธรรม เพื่อนคนหนึ่งนั่งประคองพวงมาลัยดอกไม้สดท่าทางทะนุถนอม (เห็นตอนพลอยโพยมเดินไปรับที่รถตอนลงจากรถ)

เพื่อนบอกว่าคงเข้าไม่ถึงหลวงปู่ พวงมาลัยนี้คงต้องฝากพลอยโพยมถวายหลวงปู่ในวันรุ่งขึ้นถ้าเป็นไปได้ แต่พลอยโพยมบอกว่า หนูมาพบองค์หลวงปู่เองแล้ว ควรถวายเองคืนนี้เด็ียวพี่จัดการหาทางให้

ทุกคนก็ยกพวงมาลัยมาเวียนจบที่ศรีษะ แล้วให้น้องผู้ชายที่มีมา 1 คน เป็นคนถือพวงมาลัยไว้ เดินลัดอ้อมแนวไม้ไปด้านข้างที่หลวงปู่นั่งแสดงธรรม
พระพี่ชายซึ่งยืนอยู่แนวใกล้ ๆ องค์หลวงปู่ เห็นเพื่อนคนนี้ (รู้จักด้วย) จึงปรึกษากับพระอีกองค์
ในที่สุดน้องผู้ชายได้เข้าไปถวายพวงมาลัยกับองค์หลวงปู่ หลวงปู่ทักว่า เป็นอย่่างไร มาจากไหน มากี่คน รูปหล่่อเอาการนะ ฟังธรรมได้อะไรบ้าง
น้องก็ตอบท่านไป เราก็ระทึกใจว่า น้องเขาฟังธรรมได้ใจความอะไรบ้าง เพราะพลอยโพยม ก็ตอบไม่ถูกว่าฟังธรรมได้ความว่าอย่างไร เพราะไม่มีสมาธิฟัง แต่น้องเขาก็ตอบในส่วนที่เขามาทันฟัง หลวงปู่ทำเสียง อืม อืม ดี ดี



แล้วหลวงปู่ ก็มองมาสุดปลายแถวคนนั่งถามว่า โยมผู้หญิงที่นั่งหลังสุดบนรถเข็น ชื่อ อะไร อายุเท่าไร
มีคุณยาย อายุ 93 ปี ฃื่อคุณยายสมบุญ นั่งบนรถเข็นอยู่แถวท้ายสุดใกล้กับที่เพื่อน ๆ พลอยโพยมนั่ง
หลวงปู่บอกว่า โยม สดใสผุดผ่อง หมดจดในความดี ในชาติภพนี้ ทำบุญไว้ดีมาก จากชาติภพนี้ไป โยมจะได้อยู่บนสวรรค์ ชั้นดุสิต ทุกคนก็อึ้งระคนสงสัย แต่ก็อนุโทนากับคำพรหลวงปู่


หลังจากนั้น ผู้มาฟังธรรมก็นำสิ่งของปัจจัยต่าง ๆ ที่ตั้งใจเตรียมมาทยอยกันนำไปถวายหลวงปู่ ใครไม่ได้เตรียมมากับคลานถอยออกมา



พลอยโพยม ก็พาเพื่อน ๆ เข้าไปกราบหลวงปู่ใกล้ ๆ กราบขอพรว่าคณะเพื่อนชุดนี้ต้องเดินทางกลับกรุงเทพ ฯ คืนนี้เลย เพราะมีคนต้องออกเดินทางไปประชุมที่สัตหีบ 6 โมงเช้าพรุ่งนี้ อยู่ร่วมทอดผ้าป่าไม่ได้ หลวงปู่ก็ให้พร เดินทางปลอดภัย การงานสำเร็จลุล่วงกันทุกคน
พลอยโพยมพาเพื่อน ๆ กลับลงมากินข้าวเย็นตอนสี่ทุ่่มกว่่า ๆ คณะแม่ครัวก็น่ารัก ทำอาหารใหม่เสริมให้จากที่มีเหลือ ๆ อยู่ซึ่งยังมีเหลือมากพออีกหลายอย่าง ๆ
กับข้าวเสรืมให้ไหม่เป็นจานพิเศษคือ ไข่ลูกเขย ร้อน ๆ
เพื่อน ๆ ออกจากวัดไปเวลาประมาณ ห้าทุ่มเศษ กลับถึงกรุงเทพฯ ตอนตีสาม ขึ้นรถไปประขุมใหม่ 6 โมงเช้าสำหรับบางคน แต่ทุกคนก็รู้สึกว่า คืนวันที่ 2 พ.ย. ปีนี้ช่างเป็นคืนที่ตนเอง มีความสุข ปลาบปลื้ม ปิติ ในการได้มากราบหลวงปู่ทองใบ โดยไม่ต้องไปเดินขึ้นบันได 200 ขั้น ที่ ภูย่าอู จังหวัดอุดรธานี เป็นโชคดีอันดีเป็นลาภอันประเสริฐสำหรับทุกคน



รุ่งขึ้นวันเสาร์ก็ทอดผ้าป่าหลังหลวงปู่ฉันเสร็จ (พระสายวัดป่าฉันมื้อเดียว) ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ได้เงินผ้าป่ารวม ห้าแสนบาทเศษ(โดยเป็นปัจจัยของพระพี่ชายเองเองสองแสนบาทตามที่ท่านตั้งใจไว้)
โดยนำปัจจัยผ้าป่ากลับขึ้นไปถวายหลวงปู่ที่เรือนรับรองที่นั่งฟังธรรมในตอนหลางคืน
ก็น่าแปลก ที่โทรศัพท์ออกไปหาใคร ๆ ไม่ได้ เพราะพลอยโพยมลืมพานที่จะวางปัจจัยถวายไว้ข้างล่าง โทรศัพท์ให้คนอื่นลงไปเอาพาน ( พานเฉย ๆ ) และพระก็โทรไปบอกคนข้างล่างให้เอาพานขึ้นมาให้ที แต่ก็โทรไม่ได้ พระอีกองค์ต้องเดินลงไปเอาขึ้นมาให้ตัวยตัวเอง บุญของเพื่อน ๆ พลอยโพยม ที่ตอนกลางคืนเราโทรหากันได้จากที่จุดเดียวกัน



วันอาทิตย์ตอนสายๆ พระพี่ชายคนที่สอง ก็โทรศัพท์เล่าว่า คุณยายสมบุญ เป็นคนสัตหีบ ยังไม่่เดินทางกลับอยู่ปฎิบัติธรรมต่อ สอบถามลูกหลานคุณยายได้ความว่า คุณยายสมบุญ ปฎิบัติธรรมมาตั้งแต่ยังสาว ๆ อยู่ ปฎิบัติต่อเนื่องมาจนวัย 93 ก็ยังปฎิบัติอยู่ โดยปฎิบัติอยู่ที่วัดพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ มีลูกหลานรู้ข่าวว่าหลวงปู่มาที่วัดสุขศรีงาม คุณยายจึงมากราบและฟังธรรมหลวงปู่ (เป็นครั้งแรก) และอยู่ปฎิบัติธรรมต่อ เพราะที่วัดมีเรือนพักสำหรับผู้ปฎิบัติธรรม

ในที่สุดพระภิกษุองค์อื่น ๆ ในวัด ถึงเข้าใจว่าทำไมคุณยายสมบุญต่อไปจะได้อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตรวมทั้งพลอยโพยมเองด้วย คุณยายสมบุญ ท่านก็ร่วมบริจาคเงินใส่ซองมาร่วมการทอดผ้าป่าครั้งนี้



พลอยโพยมพบเห็นผู้คนที่มากันจากหลาย ๆ จังหวัด ทั้งโคราช และใกล้เคียง ใบหน้าอิ่มสุข ปลาบปลื้มใจ อีกทั้งบรรดาญาติพี่น้อง หรือเพื่อนร่วงงาน เจ้านาย เพื่อนร่วมรุ่น ของพระพี่ชาย ที่มาร่วมทอดผ้าป่าในตอนเข้า ได้ฟังธรรมรอบเช้าของหลวงปู่สั้น ๆ หลังถวายผ้าป่าแล้ว
ทุกคนล้วนปิติ ปลาบปลื้มใจ

พลอยโพยมก็ยิ่งรู้สึกปลาบปลื้มใจที่พระพี่ชายและตัวเอง ทำให้เกิดมีบรรยากาศที่ซาบซ่านด้วยกระแสแห่งบุญในคืนวันที่ 2 และเช้าวันที่ 3 พ.ย. นี้ขึ้นมาได้ ที่วัด สุขศรีงาม ไม่นับรวมบุญจากการทอดผ้าป่า



ขอท่านผู้ที่อดทนอ่านบทความนี้มาถึงณ บรรทัดนี้ น้อมนำใจให้เอิบอิ่มผลบุญ อนุโมทนารับบุญกุศล จากพลอยโพยมกันเทอญ ฯ สาธุ สาธุ สาธุ



ส่วนเรื่องเล่าเกี่ยวกับแม่ละม่อม ก็เผื่อมีบางท่านมีคนชราอยู่ในบ้าน อ่านแล้วอาจได้ความคิดในการเอาใจใส่ดูแลท่านยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หากคิดได้เมื่อท่านจากไปแล้ว คิดได้ก็สายเกินไปเสียแล้ว

1 ความคิดเห็น: