วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

สู่แดนพระพุทธองค์ ๔๐ บุพพกรรมของพระนางสามาวดี



พระนางสามาวดีถูกเผาทั้งเป็นพร้อมบริวาร

นอกจากพระนางมาคันทิยามีความโกรธแค้นต่อพระบรมศาสดาที่ตรัสบอกบิดามารดาของพระนางว่า “นางมีร่างกายเต็มไปด้วยอุจจาระปัสสาวะ ไม่ปรารถนาจะสัมผัสแม้ด้วยเท้า” แล้ว พระนางมาคันทิยา ยังริษยาพระนางสามาวดี ที่เป็นพระมเหสีคู่แข่ง โดยเฉพาะเมื่อพระเจ้าอุเทนทรงเลื่อมใสศรัทธา ในพระพุทธองค์ ยิ่งทำให้พระนางมาคันทิยาเพิิ่มความริษยาพระนางสามาวดี ถึงขั้นคิดประหารพระนางสามาวดี โดยวางแผนเผาพระนางสามาวดีและบริวารทั้งเป็น

วันหนึ่งขณะที่พระเจ้าอุเทนเสด็จประพาสราชอุทยาน พระนางมาคันทิยาสั่งคนรับใช้ให้เอาผ้าชุบน้ำมันแล้วนำไปพันที่เสาทุกต้นในปราสาทของพระนางสามาวดี พูดเกลี้ยกล่อมให้พระนางและบริวารเข้าไปรวมอยู่ในห้องเดียวกันแล้วจึงลั่นกลอนข้างนอกแล้วจุดไฟเผาพร้อมทั้งปราสาท



ขอขอบคุณภาพจากhttp://board.palungjit.org

พระนางสามาวดี ขณะเมื่อไฟกำลังลุกลามเข้ามาใกล้ตัวอยู่นั้น มีสติมั่นคงไม่หวั่นไหว ให้โอวาทแก่หญิงบริวารทั้ง ๕๐๐ คน
ให้เจริญเมตตาไปยังบุคคลทั่ว ๆ ไปแม้ในพระนางมาคันทิยา ให้ทุกคนมีสติ ไม่ประมาท ให้มีจิตตั้งมั่นมนสิการในเวทนาปริคคหกัมมัฏฐานอย่างมั่นคง (กำหนดเวทนาเป็นอารมณ์) บางพวกได้บรรลุสกทาคามี บางพวกบรรลุอนาคามี ก่อนที่จะถูกไฟเผาผลาญกระทำกาละแล้ว ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ด้วยกันทั้งหมด

พระเจ้าอุเทนทรงรู้สึกสลดพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่พระนางสามาวดี ประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ ทรงมีพระดำริว่า ถ้าจะคุกคามถามพระนางมาคันทิยาก็คงจะไม่ยอมรับ จึงออกอุบายตรัสปราศรัยกับอำมาตย์ทั้งหลายว่า:-
“ท่านทั้งหลาย เมื่อก่อนนี้เราจะลุกจะนั่งจะไปในที่ใด ๆ ก็หวาดระแวงสงสัยกลัวภัยอยู่รอบข้าง ด้วยพระนางสามาวดีคิดประทุษร้ายต่อเราเป็นนิตย์ บัดนี้พระนางตายแล้ว เรารู้สึกสบายใจไม่ต้องหวาดระแวงอีกแล้ว และการกระทำอันนี้ก็คงเป็นการกระทำของคนที่รักและห่วงใยในตัวเรา ปรารถนาดีต่อเราอย่างแน่นอน”

พระนางมาคันทิยา ประทับอยู่ในที่นั้นด้วย เมื่อได้ยินพระดำรัสนั้นแล้วจึงกราบทูลว่าเป็นการสั่งการให้อาของพระนางกระทำเอง
พระเจ้าอุเทนจึงตรัสว่า “ขึ้นชื่อว่าบุคคลผู้มีความรักในเรา เสมอกับเจ้านี้ไม่มีอีกแล้ว เราจะให้พรแก่เธอ ขอให้เธอจงเรียกญาติของเธอมารับพรจากเราเถิด”

พระเจ้าอุเทนพระราชทานสิ่งของรางวัลอันมีค่า แก่บรรดาญาติ ๆ ของพระนางมาคันทิยาผู้มาถึงก่อน แม้คนอื่นพอทราบข่าวก็ติดสินบนขอเป็นญาติกับพระนางมาคันทิยา มาขอรับรางวัลด้วย พร้อมกับมีรับสั่งให้จับบุคคลเหล่านั้นทั้งหมดให้ขุดหลุมลึกเพียงเอวที่พระลานหลวง ให้คนคนเหล่านั้นทั้งหมดนั่งลงในหลุม กลบด้วยฟางข้าวคลุมปิดข้างบน จุดไฟเผาทั้งเป็นแล้วใช้ไถเหล็กไถซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จนหาชิ้นดีไม่ได้ ส่วนพระนางมาคันทิยาผู้เป็นต้นเหตุ พระองค์รับสั่งให้เฉือนเนื้อของพระนาง นำไปทอดน้ำมันเดือดแล้วนำมาให้พระนางเคี้ยวกินเนื้อของพระนางเอง ทรงกระทำอย่างนี้ จนกระทั่งพระนางสิ้นพระชนม์ไปบังเกิดในทุคติ ซึ่งกล่าวได้ว่าพระนางได้รับผลแห่งกรรมในอัตภาพนี้เหมาะสมแล้ว


ส่วนพระนางสามาวดี ผู้มีปกติอยู่ประกอบด้วยเมตตา (เมตตาวิหาร) ได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้อยู่ด้วยเมตตา

พระภิกษุเหล่านั้นทูลถามถึงกรรมอันหญิงเหล่านั้นทำไว้ในกาลก่อน พระพุทธองค์จึงตรัสถึงบุพพกรรมของพระนางสามาวดีว่า

ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมหัตครองราชย์สมบัติในกรุงพาราณสี ได้ถวายภัตตาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์เป็นประจำ และพระนางสามาวดีกับหญิงสหาย ๕๐๐ คน ก็เกิดอยู่ในพระราชนิเวศน์นั้นด้วย ได้ช่วยทำกิจบำรุงเลี้ยงพระปัจเจกพุทธะทั้ง ๘ นั้น ต่อมาพระปัจเจกพุทธะองค์หนึ่งได้ปลีกตัวไปเข้าฌานสมาบัติในดงหญ้าริมแม่น้ำ
ส่วนพระเจ้าพรหมทัตทรงพาหญิงเหล่านี้ไปอาบน้ำในแม่น้ำ ขึ้นจากน้ำแล้วถูกความหนาวเย็นบีบคั้นใคร่จะผิงไฟ เห็นบริเวณหนึ่งรกไปด้วยหญ้า จึงยืนล้อมก่อกองไฟ เข้าใจว่าเป็นกองหญ้า เมื่อหญ้าไหม้ไฟแล้วยุบลง จึงเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ พวกนางกลัวความผิด จึงช่วยกันจุดไฟเผาซ้ำ ด้วยความจงใจให้ไหม้หมด เพราะกรรมนี้นางและบริวารจึงถูกไฟคลอก

ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นออกจากสมาบัติในวันที่ ๗ ได้ลุกขึ้นไปตามสบาย เพราะว่าแม้จะนำฟืน ๑,๐๐๐ เล่มเกวียนมาสุม ก็มิอาจทำให้พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เข้าสมาบัติอยู่ รู้สึกแม้เพียงแต่อุ่นได้

ส่วนหญิงเหล่านั้นเมื่อตายแล้วถูกไหม้ในนรกหลายพันปี พ้นจากนรกแล้วถูกเผาอย่างนี้อีก ๑๐๐ ชาติ นี้เป็นผลกรรมของพระนางสามาวดีกับหญิงสหาย





พระพุทธองค์ตรัสบุพพกรรมของพระนางสามาวดีจบแล้วตรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย พระนางมาคันทิยาตายแล้ว ได้ชื่อว่าตายแล้วทีเดียว ส่วนพระนางสามาวดีแม้ตายแล้วก็ชื่อว่าเป็นอยู่ เพราะว่าผู้ไม่ประมาทชื่อว่าย่อมไม่ตาย"


ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามถึงบุพพกรรมของนางขุชชุตตรา ว่าเพราะกรรมใดนางจึงเกิดมาเป็นทาสี มีหลังค่อม แต่เป็นผู้มีปัญญามาก

พระพุทธองค์ตรัสว่าในอดีตชาตินางเคยใช้ภิกษุณีอรหันต์รูปหนึ่งให้หยิบกระเช้าเครื่องประดับให้แก่นาง ในชาตินี้นางจึงเกิดมาเป็นทาสี
ส่วนที่นางหลังค่อมนั้น นางเคยแสดงอาการล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมีหลังค่อม ด้วยผลกรรมนั้นนางจึงเกิดมาเป็นคนหลังค่อม
ส่วนความที่นางเป็นผู้มีปัญญามากนั้นเพราะนางเคยถวายกำไลงา ๘ วง เพื่อให้พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ รองบาตรอันเต็มด้วยข้าวปายาสร้อนที่พระราชาถวาย นางจึงมีปัญญามาก ดังนี้

ข้อที่นางมิได้ถูกเผาพร้อมพระนางสามาวดีและบริวารในปราสาทนั้น เนื่องจากนางไม่เคยร่วมทำกรรมนั้นกับพระนางสามาวดี จึงทำให้นางมิได้อยู่ในปราสาทขณะเกิดเหตุ หลังจากพระนางสามาวดี
สิ้นพระชนม์แล้วนางก็ได้อุทิศตนแก่พระศาสนา

พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญนางขุชขุตตรา ว่าเป็นเลิศกว่าอุบาสิกาทั้งปวงผู้เป็นพหูสูตร

ครั้นออกพรรษาแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปประทับ ณ สีสปาวัน ใกล้กรุงโกสัมพี พระองค์ทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบ ด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรีนกภิกษุทั้งหลายมาถามว่า

" ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย ใบประดู่ลาย ๒- ๓ ใบ ที่เราถือไว้ในมือ กับใบที่ต้นไหนจะมากกว่ากัน"

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ใบประดู่ลายบนต้นมีมากกว่าพระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์ครัสว่า
"ภิกษุทั้งหลายอย่างนั้นเหมือนกัน
สิ่่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายยังมีอีกมาก
เพราะสิ่งใดที่ไม่ประกอบด้วยประโยขน์
ไม่เป็นไปเพื่อความหมาย ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
ความดับ ความสงบ ความตรัสรู้ พระนิพพาน เราจึงไม่บอก"



"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งไรที่เราบอกแล้วว่า นี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้นิโรธ นี้มรรค สิ่งนั้นประกอบด้วยประโยขน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ความหลุดพ้น และพระนิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงพร่ำบอกเธอทั้งหลายว่า พึงกระทำความเพียร เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้นิโรธ นี้มรรค"...


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย - เนปาล โดย พระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทฺโธ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น