วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

นครกุสินารา ๑๒ สาลวโนทยาน ๒




ขอขอบคุณภาพจาก http://board.palungjit.org/3352426-post1.html


สาลวโนทยาน สวนสาธารณะของมัลลกษัตริย์ ในปัจจุบันทางรัฐบาลเข้าไปจัดเป็นสวน มีรั้วรอบขอบชิด ยังมีต้นสาละ แม้จะปลูกขึ้นใหม่ก็ดูร่มรื่นกลมกลืนกับธรรมชาติและประวัติศาสตร์ สาลวโนทยานนี้ เป็นของกษัตริย์มัลลพระองค์หนึ่ง เรียกว่า อุปวัตนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตัดสินพระทัยเลือกสาลวโนทยานนี้เป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน เพราะเป็นสถานที่เงียบสงบร่มรื่น เมื่อพระพุทธองค์ประทับบรรทมสีหไสยาสน์ภายใต้ต้นสาละทั้งคู่แล้ว ได้รับสั่งให้พระอานนท์ไปแจ้งข่าวแก่มัลลกษัตริย์ด้วยพระดำรัสว่า " อานนท์ เธอจงเข้าไปเมืองกุสินารา แล้วบอกแก่มัลลกษัตริย๋ว่า คืนนี้ในยามสุดท้ายแห่งราตรี ตถาคตจักปรินิพพาน ท่านควรจะเห็นตถาคตเสียก่อนจะปรินิพพาน ไม่เช่นนั้นพวกท่านจะร้อนใจในภายหลังว่า พวกเราไม่ได้เข้าเฝ้าพระตถาคตเจ้าในครั้งสุดท้าย "

พระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระพุทะองค์แล้ว ถือบาตรเข้าไปในกรุงกุสินาราลำพังแต่ผู้เดียวเพื่อแจ้งข่าวแก่พวกมัลลกษัตริย์ ตามพระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า





มัลลกษัตริย์มีการปกครองแบบรีปีบลิกอย่างเดียวกับกษัตริย์ลิจฉวี กล่าวคือมีอองค์คณะปกครองเรียกว่า สังฆะ หรือ คณะรัฐมนตรี แต่ละคนเรียกว่าราชา มีที่ประชุมเรียกว่าสัณฐาคาร เป็นที่ปรึกษาทั้งการเมืองและการทหาร พระพุทธองค์ทรง เรียกมัลลกษัตริย๋ว่า "วาเสฏฐโคตร" แต่ในคัมภีร์พระมนูของพวกพราหมณ์สาธยายไว้ว่า พวกลิจฉวี และมัลลเกิดจากบุคคลที่แม่เป็นวรรณะกษัตริย์ และพ่อเป็นวารชตย์

พวกมัลลว่าโดยนิสัยชอบดีฬามากเช่นกัฬามวยปล้ำ เป็นต้น นอกจากนั้นยังชอบศึกษาหาความรู้จต่าง ๆ ด้วย ดังจะเห็นได้จาก พันธุละ โอรสมัลลกษัตริย์ เสด็จไปศึกษาศิลปศาสตร์ ณ กรุงตักศิลา กษัตริย๋เหล่านี้เคยนับถือศาสนาชิน จนเมื่อศาสดามหาวีระนิพพานแล้ว เกิดความแตกแยกในหมู่ศิษย์ พระพุทธศาสนาเข้าไปเผยแผ่ในกรุงกุสินารา



ครั้งนั้นพวกมัลลกษัตริย์กรุงกุสินารา กำลังประชุมกันอยู่ที่สัณฐาคาร ด้วยเรื่องพระพุทธองค์จะปรินิพพาน พระอานนท์ได้เข้าไปที่ประชุุมนั้น บอกข่าวแก่พวกมัลลกษัตริย์ว่า

"วาเสฏฐะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีนี้ ท่นทั้งหลายจงรีบออกจากที่ประชุมเถิด จงรีบไปเฝ้าพระพุทธองค์เสียเป็นครั้งสุดท้าย จักไม่เสียใจภายหลัง "

เจ้ามัลละ โอรส สุนิสา และปชาบดี ได้สดับคำของพระอานนท์แล้วเป็นทุกข๋เสียพระทัย เปี่ยมด้วยความเศร้าโศก บางพวกสยายพระเกศา ประคองพระหัตถ์ทั้งคู่คร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนมีพระบาทอันขาดแล้ว พร่ำพรรณนาพระพุทธคุณ รำพันว่า "ดวงตาของโลกจักดับเสียแล้ว" บ้างก็พรรณนาว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานเร็วเหลือเกิน " บ้างก็ว่า "ต่อแต่นี้พวกตนจะหมดที่พึ่งเป็นแน่แล้ว " " พระองค์ผู้ประเสริฐในโลกจักอันตรธานเร็วนัก "และต่างบอกกันต่อ ๆ ไป


ขอขอบคุณภาพจากwww.dhammajak.net
ต่างพากันเสด็จตามพระอานนท์ไปที่อุทยานเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ จนอุทยานเต็มไปด้วยพวกมัลละ ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์จะเข้าเฝ้าก่อน บ้างก็อ้างสิทธิ์ที่เหนือกว่า ไม่มีใครยอมใครโต้เถียงกันขรม

พระอานนท์ดำริว่า ถ้าเราให้พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราเข้าไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าทีละองค์ก็คงไม่ทันเวลา ราตรีคงจะสว่างเสียก่อน พระอานนท์จึงจัดให้กษัตริย๋เหล่านั้นเข้าถวายบังคม ตามลำดับสกุล โดยให้กราบทูลว่ามัลลกษัตริย์องค์นี้ มีนามอย่างนี้ พระชายา พระโอรสธิดา พร้อมทั้งอำมาตย์ราชบริพารของสกุลนี้ ขอถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า โดยอุบายเช่นนี้ พระอานนท์ยังพวกมัลลกษัตริย์กุสินารา ให้ถวายบังคมพระพุทธองค์เสร็จเรียบร้อยในปฐมยาม

หลังจากเข้าเฝ้าแล้วต่างไม่ยอมกลับพระราชวัง ยังคงเฝ้าพระอาการของพระพุทธองค์อยู่ที่อุทยานนั้น


ขอขอบคุณภาพจากhttp://amazingthaisea.com/ทัวร์สังเวชนียสถาน/
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดยพระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทฺโธ)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดย โสตถินิรันตระ คุณแม่สุรีย์ รักเกิดผล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น