วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

นครกุสินารา ๑๕ ศาสดาของภิกษุสงฆ๋หลังปรินิพพาน





ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสสั่งพระอานนท์ว่า เมื่อเราปรินิพพานไปแล้วพวกเธออย่าคิดว่าพระบรมศาสดาของเราไม่มี ธรรมวินัยอันตถาคตได้แสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว พระธรรมและวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ

อานนท์บัดนี้ภิกษุเรียกกันด้วยวาทะว่า อาวุโส โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ไม่ควรเรียกกันเช่นนั้น
ภิกษุแก่กว่า พึงเรียกภิกษุที่อ่อนกว่า โดยชื่อโดยโคตร
ภิกษุผู้อ่อนกว่า พึงเรียกภิกษุผู้ปก่กว่าว่า ภันเต (ผู้เจริญ) หรืออายัสมา (ผู้มีอายุ)
อานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา หากสงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล้กน้อยเสียบ้าง ก็จงถอนเถิด
อานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา สงฆ๋พึงลงพรหมทัณฑ์ แก่ฉันนะภิกษุ




พระอานนท์ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรหมทัณฑ์เป็นไฉน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
 ปล่อยฉันนะภิกษุให้พูดได้ตามที่ตนปรารถนา ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงตักเตือน ไม่พึงสั่งสอน

ในที่สุดพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุรูปใดมีึวามเคลือบแคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ๋ พวกเธอจงถามเถิด อย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระผู้มีพระภาคอยู่เฉพาะหน้าเราแล้ว ก็ยังมิกล้าทูลถามพระองค์
แม้พระบรมศาสดจะตรัสถามถึง ๓ ครั้ง ภิกษุเหล่านั้นต่างก็ยังพากันนิ่ง



พระอานนท์กราบทูลว่า
น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าพระองค์เลื่อมใสในภิกษุเหล่านี้ว่า ไม่มีสักรูปหนึ่งที่สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือข้อปฏิบัติใด

พระบรมศาสดาตรัสว่า
อานนท์ ความเคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในมรรคผล หรือในปฏิปทาข้อปฏิบัติ จะไม่มีแก่ภิกษุแม้รูปเดียวในที่นี้ เพราะในบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ รูปที่มีคุณธรรมต่ำที่สุดก็เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้ที่จักตรัสรู้ในภายหลังแน่นอน



(เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานไปแล้ว พระฉันนะได้ฟังพรหมทัณฑ์ที่พระอานนท์เถระยกขึ้นแสดง ก็เป็นทุกข๋ตรมตรอมใจ ล้มสลบลงถึง ๓ ครั้ง
อ้อนวอนพระอานนท์ว่า ท่านผู้เจริญ อย่าทำให้กระผมพินาศเลย
ครั้นแล้วตั้งใจบำเพ็ญวัตรปฏิบัติของพระบรมศาสดาให้บริบูรณ์ ไม่นานนักพระฉันนะเถระ ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมปฏิสัมภิทาทั้งหลาย)


ขอขอบคุณข้อมูลจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดย โสตถินิรันตระ คุณแม่สุรีย์ รักเกิดผล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น