วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
[นิทานเรื่องเล่า]...หิ่งห้อยกับดวงดาว...
[นิทานเรื่องเล่า]...หิ่งห้อยกับดวงดาว...
ไกลออกไป... ในที่ที่แสงไฟสว่างไสวของเมืองใหญ่ยังไม่รุกล้ำความมืดของราตรีกาล ท่ามกลางความมืดมิด มีกลุ่มแสงเล็กๆ สว่างวิบกะพริบหายอยู่วาบวาบ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยังไม่เข้าสู่ห้วงนิทราต่างจ้องมองแสงนี้ด้วยความเพลิดเพลินและหลงใหล...แสงสว่างแม้เพียงเล็กน้อยเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจ ราวกับดาวบนฟ้าพร้อมใจกันลงมาให้ผู้คนบนดินได้เชยชม...ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม ใช่แล้ว, แสงแห่งหิ่งห้อย มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืน ...
บรรดาหิ่งห้อยหาได้รู้ไม่ว่า แสงของมันมีเสน่ห์ มันรู้เพียงว่านั่นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ และมันก็รับไว้ใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง แล้วหิ่งห้อยก็ได้รับรู้ถึงความงามของตนในคืนหนึ่ง เมื่อดาวดวงหนึ่งบนฟากฟ้า...ดาวซึ่งไม่มีใครรู้จักเอ่ยทัก
“สวยจัง ฉันเฝ้ามองโลกอยู่นาน...โลกที่กว้างใหญ่ มีแสงสว่างมากมาย แต่ฉันว่าแสงของเธอสวยกว่าแสงใดๆ ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น” หิ่งห้อยมองหาที่มาของเสียง
“ฉันอยู่ข้างบน...บนท้องฟ้านี่”
หิ่งห้อยมองหา บนท้องฟ้ามีดวงดาวมากมาย มันไม่รู้จริงๆ ว่าดาวดวงไหนกันที่เอ่ยชมซะจนมันเขิน
“คุณดวงดาว โปรดระบุตำแหน่งด้วยว่าคุณอยู่ที่ไหน”
“ลองมองหาดาวดวงเล็ก ที่ไม่ได้อยู่รวมกับกลุ่มดาวใดๆ สิ ฉันเป็นดาวที่มนุษย์ยังไม่ค้นพบ เลยยังไม่มีชื่อ” ดวงดาวตอบ
“นั่นคุณใช่มั้ย?” หิ่งห้อยหันไปที่ดาวดวงหนึ่ง ดาวดวงเล็กๆ ซึ่งมีแสงสว่างวิบกะพริบวาบ คล้ายกับตัวมัน
“ใช่ๆ, แต่เห็นฉันเล็กๆ อย่างนี้จริงๆ ฉันตัวใหญ่มากนะ เพียงแต่ฉันอยู่ไกลเธอจึงมองเห็นว่าฉันเล็ก แต่ที่ฉันมองเห็นแสงจุดเล็กๆ อย่างเธอนี่ไม่รู้ว่าเพราะฉันสายตาดี หรือเพราะเรามีส่วนที่คล้ายกัน” ดวงดาวชวนเพื่อนใหม่คุย
“คล้ายกันยังไงเหรอ?” หิ่งห้อยนึกสงสัย แสงเล็กๆ อย่างมันจะคล้ายกับแสงดาวที่ดูยิ่งใหญ่ได้อย่างไร แค่ฟังชื่อก็รู้สึกถึงความต่างแล้ว...หิ่งห้อยกับดวงดาว
“ตรงที่ผู้คนมองเห็นเพียงว่าเราเป็นแค่แสงเล็กๆ ท่ามกลางแสงอีกมากมายมั้ง” ดวงดาวตอบ
นับแต่นั้นมาดวงดาวกับหิ่งห้อยก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทั้งสองผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นให้อีกฝ่ายได้ฟังอย่างสนุกสนาน
...แม้หิ่งห้อยจะมีอายุไม่ยืนยาวเฉกเช่นดวงดาว...แต่เมื่อหิ่งห้อยรุ่นก่อนๆ ตายไป ก็จะมีหิ่งห้อยรุ่นใหม่ๆ เติบโตขึ้นแทนเสมอ ดาวดวงน้อยซึ่งเล็กเกินกว่าที่นักดาราศาสตร์จะสนใจจึงไม่เคยเหงา แม้จะเศร้าใจในเวลาที่เพื่อนเก่าจากไป แต่นานวันเข้ามันก็ได้รู้ว่านั่นคือสัจธรรมที่ไม่อาจเลี่ยง สักวันก็คงถึงเวลาที่มันต้องจากไปเช่นกัน
แล้ววันหนึ่งดวงดาวก็พบว่าแสงจากหิ่งห้อยเพื่อนของมันมีจำนวนน้อยลง ดวงดาวสอบถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง และได้คำตอบที่น่าเศร้า...
“เมื่อเร็วๆ นี้มีผู้คนมากมายย้ายมาอาศัยที่บริเวณที่ฉันอยู่ เขาสร้างอาคารใหญ่โต ผู้คนเรียกสิ่งนั้นว่าโรงงานอุตสาหกรรม เขาสร้างบ้านเรียงรายและเรียกสิ่งนั้นว่าหมู่บ้านจัดสรร เขาสร้างสนามโล่งๆ กว้างๆ ปลูกหญ้าเตี้ยๆ แล้วเรียกสิ่งนั้นว่าสนามกอล์ฟ...การก่อสร้างสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนั้นทำให้ต้นลำพูบ้านของฉัน และต้นไม้อื่นๆ ถูกโค่นลง เมื่อต้นลำพูลดจำนวนลง หิ่งห้อยอย่างฉันลดลงไปด้วย หิ่งห้อยไร้บ้านจำนวนมากตายลงก่อนที่จะได้มีลูกหลานไว้สืบทอดเผ่าพันธุ์ พวกเราที่เหลืออยู่ก็ต้องอยู่อย่างอดอยาก บางตัวก็ไม่แข็งแรงเพราะบินไปอาศัยในต้นไม้อาบยาพิษ...บางตัวทนความหิวไม่ไหวทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่กินปนเปื้อนด้วยยาฆ่าแมลงก็ยังฝืนกิน...”
แสงจากดวงดาวที่ได้รับรู้ความเดือดร้อนของเพื่อนหรี่วูบลงด้วยความเศร้าแล้วลุกโชนด้วยความโกรธ แต่เพราะมันเป็นเพียงแสงเล็กๆ แสงหนึ่งบนท้องฟ้าจึงไม่มีใครสังเกตเห็น
แม้จำนวนหิ่งห้อยจะลดน้อยลง แต่ผู้คนก็ยังคงชี้ชวนกันมาดูแสงแห่งหิ่งห้อยอยู่ ทว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่ผู้คนเดิมๆ ที่เป็นชาวบ้าน ไม่ใช่เด็กที่ไม่อยากนอนร้องโยเยยามค่ำด้วยห่วงเล่น ไม่ใช่หนุ่มสาวที่ชี้ชวนกันดูความงามของธรรมชาติยามกลางคืน ไม่ใช่คนแก่ที่นอนไม่หลับแม้จักข่มตาเท่าใด หากแต่เป็นผู้คนที่เรียกตัวเองว่า ‘นักท่องเที่ยวผู้รักธรรมชาติ’
ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม ใช่แล้ว, แสงแห่งหิ่งห้อย มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืน ที่คนเมืองใหญ่ยากจะสัมผัส ...
กาลเวลาผ่านไป บัดนี้แสงของหิ่งห้อยแทบไม่มีให้เห็น นักท่องเที่ยวผู้รักจะฉกฉวยเสพเอาความงามของธรรมชาติหมดสนุกและเบื่อหน่ายกับการเฝ้ารอค่อนคืนเพียงเพื่อจะได้เห็นแสงเล็ก ๆ
“แสงเล็กๆ ไม่ควรค่าแก่การรอคอย” พวกเขาสรุปแล้วจากไปอย่างไม่ไยดี...
ดวงดาวกวาดตามองหาหิ่งห้อย แสงจากหลอดไฟฟ้าสว่างไปทั่ว ไม่ว่าจะที่ไหนก็มีแต่แสงเทียมที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น แสงสว่างจัดจ้าแต่ไร้เสน่ห์บดบังแสงของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่างหิ่งห้อยจนหมดหรือ หรือว่าไม่มีหิ่งห้อยเหลืออยู่อีกแล้ว...
ดวงดาวตะโกนร่ำร้องหาเพื่อน แต่ไร้เสียงตอบ มันอยากรู้ว่าเพื่อนมีความเป็นไปอย่างไรบ้าง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อน ทั้งยังมองไม่เห็นว่าเพื่อนอยู่ที่ไหน ดวงดาวจึงตัดสินใจออกเดินทางตามหาหิ่งห้อย มันระเบิดตัวเองออกเป็นสะเก็ดดาวนับพันนับหมื่นชิ้นและพุ่งตรงมายังโลก...
ผู้คนออกมาชี้ชวนกันดูแสงงาม ใช่แล้ว, แสงแห่งดาวดวงเล็กๆ ที่หล่นจากฟากฟ้า มนต์เสน่ห์แห่งธรรมชาติยามค่ำคืนที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ คนเมืองใหญ่เรียกแสงนั้นว่า ‘ฝนดาวตก’ ...
ทว่า หิ่งห้อยกลุ่มสุดท้ายของดาวโลก ซึ่งอ่อนแรงเกินกว่าจะตอบรับเสียงเรียกจากดวงดาว เรียกแสงนั้นว่า ‘น้ำตาแห่งดวงดาว’
หากคำอธิษฐานกับดาวตกเป็นจริงได้ดังตำนานที่ผู้คนเล่าขาน...สักวันหิ่งห้อยและดวงดาวคงได้พบกัน...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น