[บทความ] พระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร : สถาปัตยานุสรณ์แห่งรัชกาลที่ 9 ตอนที่ 1
Photo Credit : MRK360@taklong.com
ด้วยมุ่งหมายให้พระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร... งดงาม ยิ่งใหญ่ สมฐานะบารมีของพระพุทธโสธร และมีเอกลักษณ์เหมาะสมกับเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนเป็นตัวแทนของพุทธศาสนสถาปัตยกรรมแห่งรัชสมัย พระอุโบสถหลังนี้จึงออกแบบอย่างประณีต งดงาม พิถีพิถัน โดยใช้เวลาในการออกแบบและเขียนแบบเพียงอย่างเดียวถึง 6 ปี (พ.ศ. 2530-พ.ศ. 2536) ได้รวบรวมผู้มีอัจริยภาพทางศิลปะระดับศิลปินแห่งชาติ ในหลากหลายสาขามาร่วมกันสร้างสรรค์ เต็มเปี่ยมด้วยความหมายและสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นสถาปัตยกรรมแห่งรัชกาลที่ 9 ทั้งเชิงนามธรรมและรูปธรรม
โดยคำนึงถึงคุณลักษณะ ที่ยึดถือเป็นหลักปรัชญาในการออกแบบ 3 ประการ คือ
1.ความศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม สมฐานานุศักดิ์ของพระพุทธโสธรสอดคล้องตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้น จึงออกแบบโดยเน้นให้มีโครงสร้างขนาดใหญ่แบบปราสาทราชวังโบราณ เพื่อให้เกิดความรู้สึกสง่างาม น่าเกรงขาม ขณะเดียวกันก็รักษาคุณค่าทางสถาปัตยกรรมไว้ครบถ้วนทั้งพุทธศิลป์ สถาปัตยศิลป์ และวิจิตรศิลป์
2.ความมั่นคงถาวร เพื่อให้เป็นพุทธศาสนสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาติสืบไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน จึงออกแบบโดยคำนึงถึงอายุการใช้งานของวัสดุเป็นหลัก โดยใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมดและคัดสรรวัสดุที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเรื่องความคงทนถาวร อาทิ หินแกรนิต หินอ่อน และเซรามิก มาใช้ในการก่อสร้าง ไม่ใช้วัตถุที่เสื่อมสลายง่าย เช่น ไม้ เพื่อให้อาคารหลังนี้มีอายุยืนยาวนับพันปี
3. ความร่วมสมัย สมเป็นตัวแทนของพุทธศาสนสถาปัตยกรรมแห่งรัชกาลที่ 9 ด้วยการออกแบบที่เน้นความเรียบง่ายแต่สร้างสรรค์ โดยมิได้ยึดติดกับรูปแบบดั้งเดิม แต่คำนึงถึงความจำเป็น ประโยชน์ใช้สอย และบริบทแวดล้อมเป็นหลัก โดยการรวมประโยชน์ใช้สอยของอาคารสำคัญในเขตพุทธาวาส อันได้แก่ พระอุโบส พระวิหาร และพระเจดีย์ เข้าไว้ในอาคารหลังเดียว ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในอดีต นอกจากนี้ยังได้นำศิลปะแบบไทยประเพณีมาผสมผสานกับศิลปะแบบตะวันตกได้อย่างประณีต งดงาม มีดุลยภาพ ถือเป็นนวัตกรรมที่ล้ำค่ายิ่งของวงการสถาปัตยกรรมไทย
รูปแบบสถาปัตยกรรมภายนอก
ลักษณะเป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ หลังคาประกอบเครื่องยอดชนิดยอดทรงมณฑปแบบไทย ตรงกลางเป็นพระอุโบสถต่อเชื่อมด้วยพระวิหารทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ต่อเชื่อมด้วยอาคารมุขเด็จรูปทรงเดียวกับพระวิหาร เมื่อประกอบเข้าด้วยกันมีลักษณะเป็นอาคารที่มีหลังคาแบบจตุรมุขอย่างอาคารปราสาทแบบไทย
มีโครงสร้างหลัก 2 ชั้น
- ตัวอาคาร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กตั้งแต่ส่วนฐานราก ตัวอาคาร โครงสร้างหลังคา จนถึงส่วนยอด
- ชั้น 2 ส่วนมุขด้านข้างยื่นเป็นระเบียง มีพนักระเบียง และลูกกรงตามแบบตะวันตก
หลังคา... มุงด้วยกระเบื้องเซรามิกสี่ด่อน (สีขาวอมเทา) ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสอดรับกับสีของตัวอาคารอันเป็นสีธรรมชาติของหินอ่อนไวท์คาร์ราร่า ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จ ฯ ไปทรงเลือกถึงเหมืองหินอ่อนในประเทศอิตาลีด้วยพระองค์เอง
องค์ประกอบเด่นส่วนตัวอาคาร รูปแบบโดยรวมของอาคารมีลักษณะเป็นศิลปะแบบไทยประเพณีผสมผสานศิลปะแบบตะวันตก เส้นสายโดยรวมมีลักษณะค่อนข้างแข็งเพื่อให้สอดคล้องกับขนาดของตัวอาคาร และแนวคิดเรื่องความคงทน
ฐานอาคาร มีลักษณะเป็นบัวฐานปัทม์แบบประยุกต์ สูงจากระดับพื้นดินเพียงเล็กน้อยเช่นเดียวกับพื้นชั้นล่างและบันไดทางขึ้น พนักบันไดแบบพนักพลสิงห์ ลูกกรงพนักระเบียงคล้ายกับสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่เข้ามามีอิทธิพลในสมัยรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 5 คั่นด้วยเสาสี่เหลี่ยมเตี้ย หัวเสารูปทรงคล้ายพานพุ่ม
ผนังและเสา ของอาคารบุด้วยหินอ่อนไวท์คาร์ราร่า มีเสาลอยสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่บริเวณมุขโถงทั้ง 4 ด้าน
ซุ้มประตู ทางเข้าชั้นล่างเป็นศิลปะแบบตะวันตก ลักษณะเป็นซุ้มประตูติดกัน 3 ซุ้ม ซุ้มตรงกลางด้านบนเป็นซุ้มโค้ง (Arch) ชั้นบนมีลักษณะ 3 ฃุ้มติดกันเป็นซุ้มเรือนแก้วแบบไทยลักษณะเดียวกับพระวิมาน บานประตูมีกรอบเป็นสำริดรมดำลูกฟักกระจกสีชา
ซุ้มหน้าต่าง เป็นซุ้มเรือนแก้วขนาดใหญ่ กรอบบานเป็นสำริดเนื่องจากต้องการความคงทนถาวรตามแบบพระพุทธรูปที่สร้างในสมัยสุโขทัยซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน
ลวดลายแกะสลักปูนปั้น ที่ใช้ประดับตกแต่งส่วนต่างๆ ทำด้วยเซรามิกเคลือบน้ำทอง ประยุกต์ให้มีความเรียบง่าย ลดทอนลวดลายให้มีความเหมาะสมกลมกลืนกับรูปแบบอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
***ติดตามต่อพรุ่งนี้ค่ะ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น