วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
โรงเรียนวัดผา..ครั้งคราก่อน
คุณครูผ่อน เมฆโหรา คุณครูใหญ่
นักเรียนที่มาเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดผาณิตาราม ต้องผ่านการเป็นลูกศิษย์ของคุณครูผ่อนท่านนี้ทุกคน ท่านเป็นคุณครูใจดี แม้จะถือไม้เรียวเป็นไม้ไผ่กลมยาวเรียวพอเหมาะมือ ปลายไม้เรียวโค้งน้อย ๆ คงเป็นไม้ไผ้ด้านปลายของลำไผ่ ในความรู้สีกวัยเด็กพลอยโพยมไม่เคยเห็นคุณครูตีนักเรียนคนไหนเลย ยกเว้นเด็กหญิงอมร สงวนสัตย์ ซึ่งก็คือพลอยโพยมนั่นเอง
มานึกถึงเรื่องถูกคุณครูตีแล้วก็ขำปนน้อยใจ ในสมัยเด็กพลอยโพยมไม่กล้าถามคุณครู แต่วันนี้ก็ไม่มีคุณครูให้ถามแล้วเพราะตามภาพนี้ท่านก็เป็นคุณครูที่ชรามากแล้ว ท่านไปถือไม้เรียวดูแลนางฟ้านางสวรรค์และเทพบุตรดิ้อรั้น เล่นพิเรน ๆ มานานมากแล้วเหมือนกัน
สมัยที่เข้าโรงเรียนใหม่ ๆ พลอยโพยมเรียนที่เรือนไม้ริมท่าน้ำ วันหนึ่งพลอยโพยมก็ขึ้นไปยืนบนโต๊ะเรียนสองตัวด้านหน้าชั้นเรียนและเป็นโต๊ะเรียนคนละแถวกัน คือพลอยโพยมยืนคร่อมแถวทางเดินแถวหนึ่งนั่นเอง แล้วเรียกเพื่อน ๆ นักเรียนที่ล้วนแต่เข้ามาเรียนใหม่ด้วยกัน ให้มาเดินลอดหว่างขาของพลอยโพยม น่าแปลกที่มีเพื่อน ๆ ให้ความร่วมมือตามคำเชิญชวน มาเดินลอดหว่างขาพลอยโพยมหลายคน คุณครูท่านจะมาสอนพอดีก็เลยพบเห็น คุณครูให้พลอยโพยมยืนกอดอก แล้วก็เอาไม้เรียวตีที่ก้น (จำได้ว่าไม่ได้ร้องไห้ก็แสดงว่าคุณครูตีไม่แรงนัก ) เพื่อให้หลาบจำสอนว่าไม่ให้ทำอย่่างนี้อีก
คำถามที่ไม่ได้ถามคุณครูคือ ถึงหนูจะเล่นพิเรน ๆ แต่เพื่อน ๆ เขายอมเล่นด้วย ถ้าผิดก็ต้องตีคนมาเดินลอดด้วยว่าสมรู้ร่วมคิดกระทำการอุตริเล่นพิเรน พลอยโพยมโดนตีคนเดียว ที่บ้านนั้นพลอยโพยมเคยชินกับการถูกตีเรียงแถวส่วนใหญ่เรียงอย่างโตเรียงเล็กบ่อยมาก
พลอยโพยมจำแต่เพียงว่าคุณครูใจดีมากไม่เคยตีใครยกเว้นกรณีพิเศษ แต่เมื่อปีที่แล้วคุยกับบุตรสาวของท่านซึ่งเป็นรุ่นพี่หนึ่งปีแถมสืบตระกูลเป็นคุณครูที่โรงเรียนวัดผานี้เองด้วย พี่หยี บอกว่า พ่อดุจะตายไปใครว่าใจดีไม่ตีเด็ก พลอยโพยมก็เลย งง งง อยู่ บอก พี่หยี ไปว่าตัวเองเคยถูกตี พี่หยี ถามว่าเด็กเรียบร้อยอย่างหนูถูกตีด้วยหรือ พอเล่าเรื่องให้ฟัง พี่หยีหัวเราะบอกว่า สมแล้วที่พลอยโพยมถูกตี ถ้าพี่เป็นครูพี่จะหวดหนูแรง ๆ อุตริเด็กเหลือเกินนะนี่ เป็นอย่างนั้นไป
ขอขอบคุณภาพจาก www.aboutkitchenware.net -
มีอยู่ปีหนึ่งเป็นวันทำบุญครบรอบวันตายคุณตาบุญ ซึ่งยายขาจะนิมนต์พระที่พายเรือบิณฑบาตขึ้นมารับสังฆทานบนบ้านทุกปี ปีนั้นเป็นปีที่ตรงกับวันต้องไปโรงเรียน แม่ละม่อมจัดปิ่นโตเถาใหญ่สีเหลืองมีห้าชั้นด้วยกับข้าวขนมหวานให้เด็ก ๆ ทุกคนกินด้วยกันไม่แยกเป็นปิ่นโตเล็กของใครของมันอย่างเคย (หมายถึงคู่ใครคูมันนั่่นเอง) มีพี่สาวคนโตที่สุดเป็นคนถือปิ่นโต ตอนกลางวันเด็ก ๆ ก็มากินข้าวด้วยกัน หาทำเลเหมาะ ๆ ได้ดังใจ เป็นครั้งเดียวที่เด็ก ๆ ที่ไปโรงเรียนด้วยกันได้กินข้าวกลางวันด้วยกัน ไม่มีใครรู้ตัวว่าจะมีเหตุเจ็บตัวเลยสักนิด พี่สาวก็เอาปินโตไปวางที่โต๊ะวางปิ่นโตชั้นบนของเรือนกล่องไม้ขีด พอตอนเย็น เด็ก ๆ ที่เอาปิ่นโตมาก็ต่างไปหยิบปิ่นโตของตัวเองกลับบ้าน พี่สาวหิ้วปื่นโตกลับบ้านพอเปิดฝาเปิ่นโต เอาชั้นออกมาเพื่อล้างก็ตกใจบอกผู้ใหญ่ว่าหยิบปิ่นโตมาผิด ปิ่นโตสีเหลืองเหมือนกันขนาดเล็กกว่านิดหนึ่ง มีชั้นในเถาเท่ากัน แม่ละม่อมโมโหมากเพราะปิ่นโตของเราเนื้อหนากว่า ใหม่กว่า และใหญ่กว่า เป็นปิ่นโตที่ไม่ค่อยเอามาให้เด็ก ๆ ใช้งาน คนหยิบทำไมไม่เฉลียวใจว่าไม่ใช่ปิ่นโตของเราและเด็กคนอื่น ๆ ก็ทำไมไม่รู้ด้วยว่าหยิบผิดมา แม่ละม่อมสั่งให้ไปติดตามเอาคืนมาเย็นวันนั้นเลย
ขอขอบคุณภาพจาก www.diaryclub.com
บ้านที่จะเอาปิ่นโตเถาใหญ่ไปโรงเรียนต้องเป็นบ้านที่มีเด็กไปโรงเรียนหลายคน พี่สาวเขารู้ทันทีว่าปิ่นโตสับกับใครมา และเขาเป็นคนหยิบปิ่นโตทีหลังคนที่หยิบผิดเอาของเราไป พี่สาวเขาแค่หยิบปิ่นโตเถาที่เหลืออยู่มา พี่สาวไม่รอช้ารีบไปตามปิ่นโตตัวเองที่บ้านคนหยิบผิดมาทันที เด็ก ๆ ที่มีส่วนรับผิดชอบตามกันไปเป็นพรวน
ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเราไม่ได้ปิ่นโตคืนมา รู้แต่ว่าพี่สาวเขาจาระไนว่าปิ่นโตของเรามีอะไร อันเศษกับข้าวที่อยู่ในปิ่นโตที่หยิบผิดมาไม่ใช่กับข้าวที่เราเอาไปกินที่โรงเรียน พูดไปพูดมากลายเป็นทะเลาะกันกับเด็กบ้านนั้น และไม่ได้ปิ่นโตคืน...(.หรือว่าไปตามปิ่นโตผิดบ้านกันหรือเปล่าหนอ ) พี่สาวเขามั่นใจมากว่าเป็นเด็กบ้านนั้นหยิบปิ่นโตของเราไป
กลับมาบ้านคราวนี้ก็โดนแม่ละม่อมตีเรียงแถวจากโตเรียงเล็ก พลอยโพยมรู้ว่าตัวเองจะถูกตีเป็นคนสุดท้ายอุตส่าห์ลงจากบ้านหนีขึ้นไปอยู่บนต้นฝรั่งริมคลองหลังบ้านคุณยายเล็ก เพราะคิดว่าแม่ละม่อมไม่เห็นตัวเราก็คงขี้เกียจแล้วเลิกตีก็ตีมาตั้งหลายคนคนละหลาย ๆ ทีแล้ว แต่ก็ไม่พ้นไม้เรียวแม่ละม่อม แม่ละม่อมไม่เลิกราลงจากบ้านมาตามหาเรียกให้ลงจากต้นฝรั่งแล้วก็โดนหวดก้น (ไม่รู้ว่าโดนตีแรงกว่าพี่ ๆ หรือมากกว่าพี่ ๆ ด้วยหรือเปล่าเพราะแม่่ละม่อมต้องเสียเวลาลงจากบ้านมาเดินตามหา ) พลอยโพยมในขณะนั้นน่าจะคะเนน้ำจิตน้ำใจแม่ละม่อมผิดไปเสียมากกว่า
มิหนำซ้ำยังถูกตีต่อเนื่องอีกหลายวันเพราะไปตามของคืนมาไม่ได้ เหมือนแม่ละม่อมจะตีเด็กเพื่อให้เด็กไปเอาปิ่นโตคืนมาให้ได้ พวกเราเจ็บตัวอยู่หลายวัน เพราะไม่ได้ของคืนมา หลังจากนั้นก็ไม่มีการได้กินข้าวปิ่นโตเถาใหญ่กันอีกเลย กินปิ่นโตเล็กและแยกกันกินอย่างเคย
กล่องใส่ข้าวสมัยเด็ก ๆ
ขอขอบคุณภาพจาก peopleawesome.com
ด้านหลังเรือนไม้กล่องไม้ขีด และเป็นด้านหน้าของอาคารเรียนหลังใหม่สองหลังนี้มีบ่อน้ำบ่อใหญ่ และค่อนข้างลึกมากเพราะโรงเรียนขุดลอกดินในบ่อขึ้นมากองไว้ข้าง ๆ บ่อ เด็ก ๆ ชอบกองดินนี้มากและเรียกว่าภูเขา เวลาที่ไม่มีฝนดินแห้งดีเด็ก ๆ จะไปหาทำเลกินข้าวบนกองดินกัน พี่ชายและพลอยโพยมก็เหมือนกันนัดกันว่าเอาข้าวไปกินบนภูเขา ปีหลัง ๆ เราเปลี่ยนปิ่นโตเป็นกล่องใส่ข้าวอลูมิเนียม ใบค่อนข้างใหญ่ยาวฝาปิดมีที่ล๊อคเอาข้าวไปกินได้สองคน เวลากินข้าวนั้น คนหนึ่งก็ตักข้าวออกมากินบนฝากล่องข้าวนั่นเองมีช้อนสองคันส่วนกับข้าวใส่มาในช่องเล็กที่กล่องใส่ข้าว
บางทีหน้าเปิดเทอมต้นคือเดือนพฤษภาคม พี่ชายจะเอามะม่วงสุกไปกินด้วย เด็ก ๆ จะมีมีดพกติดตัวกัน ( เพราะหน้าเก็บเกี่ยวข้าวเราต้องเอามีดพกไปตัดรวงข้าวเวลาเก็บข้าวตกในท้องนานั้นเอง และพ่อมังกรซื้อเป็นมีดพกแบบพับซ่อนปลายแหลมเพื่อความปลอดภัย) การกินมะม่วงสุกที่โรงเรียนนั้นพี่ชายเขาไปได้แบบอย่างจากญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งชื่อ ก๋งฮ้อ ก๋งฮ้อกินมะม่วงสุกโดยใช้มีดฝานมะม่วงทั้งเปลือกฝานให้ติดเม็ดในแล้วใช้ช้อนตักเนื้อมะม่วงกินเป็นคำ ๆ ฝานหน้าหลังและด้านข้าง(ถ้ายังฝานได้) พลอยโพยมกินมะม่วงสุกวิธีนี้ที่โรงเรียนเท่านั้น ทำแบบนี้ที่บ้านไม่ได้และมีแม่ละม่อมเป็นคนปอกให้กินไม่ต้องปอกเอง(แม้พี่ชายคนโตอายุ 50 กว่า ปี ยังให้แม่ละม่อมอายุ 80 กว่าปีปอกมะม่วงให้กิน เรียกว่าแม่ละม่อมปอกมะม่วงให้ลูก ๆ กินตั้งแต่ลูก ๆ เด็กจนแก่ )
นอกจากกองดินที่เป็นภูเขาดินของเด็ก ๆ แล้ว บ่อน้ำนี้ยังเป็นที่เด็กหากิจกรรมเล่นขอบบ่อหรือไต่ลงไปชายบ่อกันสนุกสนาน มีต้นไทรใหญ่่ริมบ่อด้วยอีกต่างหาก เด็ก ๆ ทั้งเด็กเล็กเด็กโตเล่นกันแถว ๆ บ่อน้ำกันมากมายคลาคลำเลยทีเดียว
ต่อมาโรงเรียนก็เลิกใช้เรือนกล่องไม้ขีดเป็นห้องเรียนและต่อมาภายหลังเมื่อพลอยโพยมออกจากโรงเรียนวัดผาฯ แล้ว ก็มีการถมบ่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของสนามหญ้าดังภาพข้างล่างนี้
เมื่อ พ.ศ. 2506 พลอยโพยมอายุ 10 ขวบกำลังจะจบชั้นเรียนชั้นประถมปีที่ 4
ไม่เพียงแต่นักเรียนทั้งหมดจะไม่สวมถุงเท้ารองเท้านักเรียนแล้ว คุณครูสำนวน สงวนสัตย์ท่านนี้ก็ไม่สวมรองเท้าด้วยเหมือนกัน (นักเรียนในภาพนี้อาจมีคนเคย มาเดินลอดหว่างขาของพลอยโพยมตอนเข้าเรียนใหม่ ๆ ด้วยถ้าไม่เรียนตกซ้ำชั้นเรียนไปเสียก่อน พลอยโพยมจำไม่ได้ว่าเพิ่อนคนไหนมาเดินลอด ในขณะนั้นแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามก็ยังไม่รู้จักกันเลย)
ในชั้นเรียนประถมปีที่สี่นี้ พลอยโพยมกลายเป็นพี่คนโต มีน้องชายเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่ง น้องสาวลูกคุณป้าละอออยู่ชั้นประถมปีที่สอง เมื่อจบชั้นประถมปีที่สี่พลอยโพยมก็ย้ายไปเรียนชั้นประถมปีที่ห้าที่โรงเรียนปัญจพิทยาคารในตัวเมืองตามพี่ ๆ ที่ย้ายไปเรียนก่อนล่วงหน้า (พี่ชายและพี่สาวคนหนึ่งเรียนห่างกับพลอยโพยมสองปี)
นักเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งถึงปีที่เจ็ดเรียนที่อาคารเรียนนี้
อาคารเรียนนักเรียนขั้นมัธยม ม.ศ.หนึ่งถึงสาม สมัยพลอยโพยมเรียนอยู่มีชั้นบนชั้นเดียว
ปัจุจุบันอาคารเรียนชั้นมัธยมไม่ใช้เป็นอาคารเรียนแล้วเพราะแยกไปเรียนที่อาคารเรียนหลังใหม่และใช้ชื่อโรงเรียนสำหรับชั้นมัธยมว่าโรงเรียนผาณิตวิทยา
ป้ายกำกับ:
[บทความ]
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น