วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฃีวิตจริงที่ยิ่งกว่าบทประพันธ์ 6 ของศรินทร

ตะวันฉายเฉิดฉัน....ในวันนี้




คุณหนุ่ยพบกับความทุกข์ทางใจอีกครั้ง แต่ไม่เคยละทิ้งหน้าที่แม่ต่อลูก ๆ ทั้ง 4 คน เป็นทั้งพ่อและแม่เบ็ดเสร็จในตัว บางครั้งก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ลูกสาวและลูกชายคนเล็กจะเข้ามากอดและซับน้ำตาให้และบอกว่า "เรารักหม่ามี้ี หมามี้อย่าร้องไห้นะ
ลูกชายคนเล็กบอกคุณหนุ่ยว่า "เจมส์สัญญาจะเป็นเด็กดี จะตั้งใจเรียนหนังสือ โตขึ้นไม่ติดยา "
คุณหนุ่ยดึงลูก ๆ เข้ามากอด และหลังจากนั้นก็ไม่ร้องไห้ให้ลูก ๆ เห็น แต่ร้องในเวลาอาบน้ำ ทั้งสายน้ำและน้ำตาคุณหนุ่ยคลุกเคล้ากันไป



คุณศรินทรและคุณแม่ขณะวัย 86 ปี

การที่ไม่มีใครที่จะปรับทุกข์ด้วย คุณหนุ่ยจึงเล่าเรื่องความทุกข์ของแม่ให้ลูก ๆ ฟังทั้ง 4 คนฟังและปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ทำให้ ลูก ๆ ทั้ง 4 คน และหม่ามี้ถูกหลอมกันเป็นแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวในความรักความเข้าใจ ลูก ๆ ทั้ 4 คนทำตัวเหมือนเอามือประสานกันไว้เพื่อห้อมล้อมคุณหนุ่ยไว้จากภัยอื่น ๆ ที่จะมากรายกล้ำอีก



ความรักของลูก ๆ ที่มีต่อคุณหนุ่ยผูกพันแนบแน่นมากขึ้นตามกาลเวลา นับเป็นพระพรสูงสุดที่พระเป็นเจ้าประทานให้แก่คุณหนุ่ยมาจนทุกวันนี้ แต่คุณหนุ่ยก็ยังจมปลักอยู่กับกองทุกข์ความเจ็บปวดในใจตลอดมา
แล้ววันหนึ่งคุณหนุ่ยก็มีสติรู้ตัวว่าหลังจากคืนวันคริสต์มาสคืนสำคัญนั้นแล้ว อัศจรรย์ที่ได้เกิดกับคุณหนุ่ย จนชนะคดีเรียบร้อยแล้วคงเปล่าประโยชน์ คุณหนุ่ยต้องค้นหาพันธกิจที่พระเจ้าต้องการให้คุณหนุ่ยกระทำเพื่อตอบแทนพระคุณของพระองค์


คุณหนุ่ยตั้งหลักให้ตัวเองใหม่ ไปที่โบสถ์ในซอยวัฒนา (สุขุมวิท 19) เพื่อใช้เป็นที่แสวงหาพระเจ้า คุณหนุ่ยไปโบสถ์แต่เช้าทุกวันอาทิตย์ กระตือรือร้นที่จะเรียนพระคัมภีร์
คุณหนุ่ยรู้สึกเหมือนเด็กหลงทางที่หาทางกลับบ้านได้ ใช่แล้วนี่คือบ้านที่คุณหนุ่ยใฝ่หา



3 ปีที่ผ่านไปที่คุณหนุ่ยเป็นเด็กหลงทางแม้จะพบบ้านแล้ว แต่ไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ เหมือนมีคลองขวางกั้นไม่ให้ข้ามไป แม้จะเดินวนหลายรอบแล้ว ก็ยังไม่พบสะพานที่จะเดินข้ามคลองเข้าบ้านได้

6 เดือนต่อมา คุณหนุ่ยก็รับศีลล้างบาปเป็นคาธอลิคอย่างสมบูรณ์เป็นคริสตชนเต็มตัวอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. 2539 ( ค.ศ. 1996 )และแสวงหาทางที่จะรับใช้พระ จากการอ่านพระคัมภีร์และศึกษาพระคริสตธรรมทุกวัน จนคุณหนุ่ยได้ค้นพบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์

คุณหนุ่ยเริ่มรู้สึกว่าพระเจ้ามิได้ทรงอยู่บนสวรรค์ไกลโพ้นนั่นเลย คุณหนุ่ยรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังทรงตอบคุณหนุ่ยทุกครั้งที่อ่านพระวาจา คุณหนุ่ยได้ค้นพบกุญแจที่สามารถไขชีวิตให้หลุดจากโซ่ตรวนที่พันธนาการคุณหนุ่ยกับความทุกข์ได้

แต่จากพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และค่าเงินบาทอ่อนตัวลงทุกวัน บริษัทคุณหนุ่ยจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าโดยเครดิตทั้งหมด เงินสดหมุนเวียนของบริษัทสะดุด จนวันหนึ่งคุณหนุ่ยรู้สึกว่าเหนื่อยมากคิดว่าจะประคองธุรกิจสองบริษัทต่อไปไม่ไหว มองไปเบื้องหน้าเห็นแต่ท้องฟ้าที่มืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงริบหรี่จากดวงจันทร์หรือดวงดาวเลยแม้แต่น้อย

คุณหนุ่ยมีเพื่อนรักที่มีความผูกพันโดยความรักของทั้งสองที่มีต่อพระเจ้า เธอเป็น " " เพื่อนจิตวิญญาณ " เวลามีทุกข์ก็จะแบ่งปันและปลอบใจซึ่งกันและกัน คุณหนุ่ยปรับทุกข์ว่าทนไม่ไหวแล้วจะให้ธนาคารมายึดทุกสิ่งทุกอย่าง และคุณหนุ่ยจะไปรับใช้พระเจ้าอย่างเดียว ไปเป็นหญิงกวาดวัดก็ยังดี

คุณจุฑารัตน์ ตัน ปลอบใจมาว่า "พระเจ้าทรงใช้ทุกคนไม่เหมือนกัน พระองค์จะทรงใช้แต่ละคนตามความสามารถของคน ๆ นั้น คุณหนุ่ยเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถ ก็สามารถรับใช้พระองค์โดยการเป็นนักธุรกิจได้ คนเก่งอย่างคุณหนุ่ยไปเป็นผู้หญิงกวาดวัด มิเสียดายแย่หรือ"




ต่อมาคุณหนุ่ยก็ได้ฟังเทศน์ถึงการรับใช้พระโดยผ่านอาชีพของเราและในการดำเนินชีวิตประจำวันโดยไม่จำเป็นต้องร่วมกิจกรรมด้านศาสนาอย่างเดียว

ในหนังสือภูเขาเคลื่อนได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความอัศจรรย์จากพระเจ้าหลายเรื่องขอเชิญผู้สนใจติดตามไปอ่านได้ว่าภูเขาเคลื่อนได้เพราะเหตุใดกัน

คุณหนุ่ยต้องฟันผ่ากับภาวะเศรษญกิจจนพ้นวิกฤติได้อีกครั้ง และต่อ ๆ มา คนที่เพิ่งรู้จักคุณหนุ่ยในช่วงหลังส่วนใหญ่จะคิดว่าคุณหนุ่ยเป็นคนรวย ที่คุณหนุ่ยจะน้อมรับด้วยความถ่อมตนว่า คุณหนุ่ยไม่ใช่คนรวยอะไรหรอก แต่คุณหนุ่ยมีความรวยที่มีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นแสนเป็นล้านเท่า คุณหนุ่ยรวยความสุึขใจและรวยความรักในใจต่างหาก



คุณหนุ่ยได้ค้นพบขุมทรัพย์ที่วิเศษมีค่ามหาศาล คุณหนุ่ยบอกว่าคนเราจะนับถือศาสนาอะไรเป็นเรื่องความเชื่อความศรัทธาและเป็นเรื่องส่วนตัวของคน ๆ นั้น ที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ศาสนิกชนนั้นควรจะต้องเข้าใจถึงหลักธรรมะซึ่งเป็นแก่นแท้ของศาสนาของตัวเอง นั่นแหละศาสนาจึงจะเป็นแสงส่ว่างส่องทางให้แก่ชีวิตและจิตวิญญาณให้เราได้

คุณหนุ่ยสามารถให้อภัยกับผู้ที่ทำให้คุณหนุ่ยเจ็บปวดครั้งที่สองหลังจากความเจ็บปวดเรื่องคดีได้อีกครั้ง คุณหนุ่ยปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวนแห่งความทุกข์ทรมานหลุดพ้นจากเพลิงเผาทั้งปวงกลับมาใช้ชีวิตอย่างสันติสุข คุณหนุ่ยเป็นอิสระจากกองเพลิงแห่งความเจ็บแค้น เจ็บปวด ยิ่งนับวันยิ่งเดินห่างออกจากมลภาวะทางจิตใจทั้งหลาย ห่างออกไป ห่างออกไป และเข้าสู่ดินแดนแห่งความสุขสดชื่นเพราะเป็นดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ที่เต็มเปี่ยมด้วยธรรมะของพระเจ้า




พรสวรรค์......อันตระการตา

เมื่อวันที่พลอยโพยมไปเยี่ยมคุณศรินทรที่บริษัทพบภาพวาดฝีมือของคุณศรินทรเองมากมายหลายภาพงดงามวิจิตร ทั้งภาพเกี่ยวกับศาสนา ภาพวิวทิวทัศน์ ภาพดอกไม้ จนต้องขออนุญาตถ่ายภาพมา แต่ภาพที่ได้ไม่งดงามใกล้เคียงกับความจริง อาจเป็นเพราะภาพติดผนังอยู่สูงเกินไป อีกทั้งแสงไฟในตัวอาคารก็มีส่วน และที่สำคัญคือฝีมือคนถ่ายภาพยังใช้การไม่ได้นั่นเอง

คุณศรินทรได้กรุณาเล่าชื่อของภาพ ลำดับความโปรดปรานของคนวาดเอง รวมทั้งความเป็นมาหรือแรงบันดาลใจในแต่ละภาพด้วย

ผลที่สุดก็ขอใช้วิธีสื่อภาพวาดบางภาพด้วยการแสกนภาพจากหนังสือภูเขาเคลื่อนได้ และคัดลอกมาจาก.thaicatholicbible.com ศิลปะเพื่อพระเจ้า ผลงานของคุณศรินทร


คุณศรินทรเล่าให้ฟังว่า
งานวาดภาพของคุณศรินทรเกิดจาก คุณจอยบุตรสาวคนโตเคยชนะการประกวดภาพวาด (โดยไม่ได้ไปร่ำเรียนวิชาการวาดภาพเป็นพิเศษมาจากไหน)

เมื่อเห็นฝีมือวาดภาพของคุณจอยแล้วก็รู้สึกว่า คุณจอยเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านนี้แต่คุณศรินทรคิดไกลต่อไปว่าพรสวรรค์นี้คุณจอยได้มาอย่างไร จากใคร แล้วคุณศรินทรก็สรุปว่า คุณจอยได้รับพรสวรรค์นี้ไปจากตัวคุณศรินทรซึ่งเป็นคุณแม่เอง ดังนั้นตัวคุณศรินทรก็น่าจะมีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพด้วย

หลังจากสอบถามคุณจอยถึงอุปกรณ์การวาดภาพ วิธีการลงสีระบายภาพแล้ว คุณศรินทรก็ไปซื้ออุปกรณ์การวาดภาพมาเตรียมไว้ และลงมือวาดภาพในวันที่เกิดแรงบันดาลใจ
(พลอยโพยมก็เลยได้ทราบว่าวิธีการใช้อุปกรณ์ลงสีมีอุปกรณ์หลายอย่าง)

ขออภัยที่พลอยโพยมจัดภาพไม่เรียงตามลำดับ แต่ลำดับภาพโดยเน้นลักษณะแนวตั้งแนวนอนของภาพ



ภาพโปรดที่ 3 วาดเมื่อ ส.ค. 2007
ชื่อภาพ A Doubting Thomas
oil on canvas ขนาด 70x100 ซม.
ภาพนี้ได้ถวายแด่พระคุณเจ้าพระคาร์ดินัล ไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2007
ขณะนี้แขวนอยู่ที่ห้องรับแขก สังฆมณฑลกรุงเทพฯ






ภาพโปรดที่ 2 วาดเมื่อ   ก.ย. 2007
ชื่อภาพ My Jesus
oil on canvas ขนาด 30x40ซม.
ภาพนี้ได้ถวายแด่ ฯพณฯ พระอัครสังฆราช ซัลวาตอเร เพ็นนัคคีโอ
อดีตอัครสมณทูตวาติกัน ประจำประเทศไทย
ขณะนี้แขวนอยู่ที่สถานเอกอัครสมณทูตวาติกัน ประจำประเทศไทย





ภาพโปรดที่ 1 วาดเมื่อ มิ.ย.2009
ชื่อภาพ Annunciazione
oil on canvas ขนาด 70x100ซม.
ภาพนี้ได้แรงบันดาลใจจากการไปแสวงบุญที่กรุงโรม
ใช้เวลาวาดทั้งสิ้น 107ชม.
ปัจจุบันติดอยู่ในห้องทำงานของคุณศรินทรที่บริษัท SHOWERKING ที่อมตะนคร






ชื่อภาพ "จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน"
มัทธิว 7:7
oil on canvas ขนาด 50x40 ซม.





ชื่อภาพ Love your Enemy
จงรักศัตรูของท่าน ลูกา 6:27
oil on canvas ขนาด 35x50 ซม.




ชื่อภาพ House of God, พระนิเวศของพระเจ้า
oil on canvas ขนาด 50x70 ซม.
ภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากปกอุดมสาร
ฉบับที่ 27 ประจำวันที่ 1-7 กรกฎาคม 2007
และเป็นการวาดแบบ Expressionist ใช้เกรียงวาดทั้งภาพ




ชื่อภาพ "คำสรรเสริญพระเจ้าจะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ"
สดุดี 34:1
oil on canvas ขนาด 30x40 ซม.




ชื่อภาพ "ผู้ใดที่ฟังเรา ก็เป็นสุข"
สุภาษิต 8:34
oil on canvas ขนาด 30x40 ซม.




ภาพแรกเป็นภาพที่วาดในปี ค.ศ. 2005
เป็นคืนที่คุณศรินทรอยู่บ้านคนเดียวและรู้สึกเหงามาก จึงวาดภาพต้นไม้ในป่าอเมซอน เป็นภาพ 3 ภาพ ภาพกลางเป็นภาพเริ่มต้นที่ใช้เวลาวาด 1 คืน




ภาพวาดเมื่อปี ค.ศ. 2006




ชื่อภาพ We are the real Vine
เราเป็นเถาองุ่นแท้ ยอห์น 15:1
oil on canvas ขนาด 40x30 ซม.




ชื่อภาพ Lourdes, ลูร์ด
oil on canvas ขนาด 50x70ซม.
ภาพนี้ต้องการให้เห็นถึงการประจักษ์ของแม่พระ
โดยใช้สถานที่จริงในปัจจุบันเป็น setting




ชื่อภาพ The One Lost Sheep, แกะหายตัวนั้น
oil on canvas ขนาด 60x40ซม.
ภาพนี้เป็นภาพวาดที่เรียกว่า allegorical painting
คือเป็นภาพวาดที่เล่าถึงเรื่องราว
แกะดำตัวที่พระเยซูเจ้าทรงอุ้มอยู่นั้นคือ แกะ 1 ตัวที่หายไป
ส่วนฝูงแกะที่อยู่บนเมฆนั้นคือแกะ 99 ตัวที่รอดไปแล้ว
ดินแดนทางซ้ายมือคืนถิ่นทุรกันดาร แต่พอใกล้องค์พระเยซูเจ้าแล้ว
จะเป็นแผ่นดินที่มีความสว่างและเลยจากพระองค์ไปจะเป็นแผ่นดิน
อุดมสมบูรณ์ มีดอกไม้ต้นไม้เขียวชะอุ่ม
ส่วนเจ้าแกะตัวใหญ่คือ แกะอิจฉาหรือเปรียบเป็นพี่ชายในเรื่องลูกล้างผลาญ
เป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่อิจฉาตาร้อน




ชื่อภาพ Love Your God … with all you Heart
จงรักพระเจ้า...อย่างสิ้นสุดจิตสุดใจ มัทธิว 22:37
oil on canvas ขนาด 40x30 ซม.

ขอขอบคุุณภาพจาก
หนังสือภูเขาเคลื่อนได้ "ชีวิตจริงที่ยิ่งกว่ายบทประพันธ์"
ศิลปะเพื่อพระเจ้า
http://www.thaicatholicbible.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=2398:a-doubting-thomas&catid=141&Itemid=53 (ยังมีภาพต่าง ๆ  ที่ไม่ได้สื่ออีกเชิญติดตามไปชมได้)


ส่วนผลงานภาพที่พลอยโพยมถ่ายภาพมาจากบริษัท SHOWERKING ต่อไปนี้ ต้องอภัยท่านเจ้าของภาพที่สื่อความงดงามวิจิตรตระการตาได้ไม่สมภาพของจริง




















แท่นบูชาที่คุณศรินทรต้องมากราบพระทุกวันในสำนักงาน



แท่นบูชาอีกแท่นหนึ่งในสำนักงานของคุณศรินทรผู้เชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้า

มาวันนี้พลอยโพยมจึงไม่แปลกใจกับตัวตนของคุณศรินทรที่พลอยโพยมได้เคยได้รู้จักเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้วมาในฐานะที่คุณศรินทรเป็นลูกค้าของธนาคาร คุณศรินทร ผู้มีบุคลิกสง่างาม ทันสมัย เชื่อมั่นในตนเอง เข้ากับคนง่าย ใจดี ไม่ถือตัว ในแววตาฉายความโอบอ้อมอารี มีเมตตา มองโลกในแง่ดี คุณศรินทรผู้มากับรอยยิ้มแย้มเยือนให้กับทุก ๆ คน ทุก ๆ ครั้งที่ก้าวเข้ามาในธนาคาร

ซึ่งทั้งนี้ คุณจอยบุตรสาวคนโตที่พลอยโพยมเคยได้รู้จัก เริ่มต้นจากรู้จักกันทางเสียงโทรศัพท์ก่อนการได้รู้จักตัวจริง สำหรับการพบกันครั้งแรกเป็นวันที่คุณจอยกำลังจะไปคลอดหลานชายคนแรกให้คุณยาย (คุณศรินทร ) พลอยโพยมแยกมาขึ้นรถตนเองกลับสำนักงาน ส่วนคุณจอยก็ขึ้นรถพยาบาล ไปโรงพยาบาล พลอยโพยมก็ประทับใจมากเช่นกัน รู้สึกเลยว่าคุณจอยถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างมาจากคุณศรินทรนั่นเอง
อีกทั้ง ดร.รุจ ณ สงขลา สามีของคุณจอยเข้ามาเป็นบุตรเขยก็เหมาะสมกับการเข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันกับคุณศรินทรเป็นอย่างยิ่ง

ช่างเป็นครอบครัวแม่ลูกที่อบอุ่น อบอวลด้วยความรัก น่าประทับใจมากจริง ๆ


ใบไผ่ของพลอยโพยมก็มีศรัทธาในพระเจ้าเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น