ขอขอบคุณภาพจากwww.sookjai.com
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินจากเมืองพาราณสี ต่อไปยังกรุงเวสาลี ประทับที่ ณ กูฎาคารศาลา ป่ามหาวัน
พระนางปชาบดีโคตมีเถรี พร้อมทั้งเหล่าศากิยานี ซึ่งพำนักอยู่ที่สำนักภิกษุณี ณ กรุงเวสาลี เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ เพื่อกราบทูลลานิพพาน กราบทูลว่า
ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.kunkroo.com/catalog.php?idp=117
ข้าแต่พระสุคต หม่อมฉันเป็นพระมารดาของพระองค์
ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์เป็นพระบิดาของหม่อมฉัน
ข้าแต่พระโลกนาถ พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานพระสัทธรรมแก่หม่อมฉัน
ข้าแต่พระโคดม หม่อมฉันอันพระองค์ให้ข้ามสาครคือภพแล้ว
ข้าแต่พระโอรส หม่อมฉันปราถนาจะทิ้งร่างนี้เพื่อนิพพาน
ข้าแต่มหาวีระ ขอพระองค์โปรดอนุญาตแก่หม่อมฉันเถิด
ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.kunkroo.com/catalog.php?idp=117
พระมหาปชาบดีโคมีเถรีได้ซบพระเศียรลงแทบพระพุทธบาท กราบทูลว่า
"หม่อมฉันขอน้อมมนัสการ หม่อมฉันจักมรณะเป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระองค์อีก หากโทษใด ๆของหม่อมฉันมีอยู่ ขอพระองค์ได้โปรดอดโทษแก่หม่อมฉันด้วยเถิด"
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
" ดูก่อนโคตมีผู้ประดับไปด้วยคุณ โทษที่จะพึงอดยังจะมีอะไรในเมื่อบอกกล่าวเสีย เมื่อท่านจะไปนิพพาน ตถาคตจักกล่าวอะไรแก่ท่านให้มากไปเล่า เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านจะออกไปเสียจากโลกนี้ก็ควร เหมือนเพราะเป็นในเวลาที่ยังมีแสงสว่างของอาทิตย์ที่อัสดงคตแล้ว รอยในดวงจันทร์ก็ออกไปฉะนั้น"
ภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีพากันทำประทักษิณพระชินะพระบรมศาสดาผู้เลิศ พระองค์เหมือนหมู่ดาวที่ติดตามดวงจันทร์ เวียนขวาภูเขาสิเนรุฉะนั้น หมอบลงแทบพระบาทแล้วยืนจ้องดูพระพักตร์ของพระพุทธองค์ กราบทูลว่า
จักษุของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยการเห็นพระองค์
โสตของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยภาษิตของพระองค์
จิตของหม่อมฉันทั้งหลายดวงเดียวเท่านั้น อิ่มด้วยรสแห่งธรรมของพระองค์
ข้าแต่พระผู้เป็นจอมนรชนเมื่อพระองค์บันลืออยู่ในบริษัท กำจัดเสียซึ่งทิฏฐิและมานะ
ชนเหล่าใดเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณ ชนเหล่าใดประณตน้อมพระยุคลบาทของพระองค์ซึ่งมีพระองคุลียาว มีพระนขาแดงงดงาม มีส้นพระบาทยาว แม้ชนเล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ.
ข้าแต่พระนโรดม ชนเหล่าใดได้สดับพระดำรัสของพระองค์อันไพเราะน่าปลื้มใจ กำจัดโทษเป็นประโยชน์เกื้อกูลชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ
ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันเอาใจใส่การบูชาพระบาทของพระองค์ ข้ามพ้นทางกันดารคือสงสารได้ ด้วยพระสุนทรกถาของพระองค์ผู้ทรงศิริจึงชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ
ลำดับนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ผู้มีวัตรอันงามประกาศในหมู่พระภิกษุสงฆ์
แล้วไหว้พระราหุล พระอานนท์และพระนันทะ และได้ตรัสดังนี้ว่า
"ลูกเอ๋ย แม่เบื่อหน่ายในร่างกายซึ่งเสมอด้วยที่อยู่ของอสรพิษเป็นที่พักของโรค เป็นเรือนร่างของทุกข์ เป็นที่โคจรของชราและมรณะ อาเกียรณ์ไปด้วยมลทินโทษต่างๆ ต้องอาศัยผู้อื่น ปราศจากเรี่ยวแรง ด้วยเหตุนั้น แม่จึงปรารถนาจะนิพพานเสีย"
"ลูกเอ๋ย พ่อจงเข้าใจแม่เถิด พระนันทเถระและพระราหุลผู้น่ารัก เป็นผู้ปราศจากความโศก ไม่มีอาสวะ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีปัญญามีความเพียรก็ได้คิดถึงธรรมดาว่า น่าติโลกที่ปัจจัยปรุงแต่ง ปราศจากแก่นสารเปรียบด้วยต้นกล้วย เช่นเดียว กับมายากลและพยัพแดดนอกจากนี้ยังไม่มั่นคง"
พระปชาบดีโคตมีเถรี พระมาตุจฉาของพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้เป็นผู้เลี้ยงดูพระพุทธองค์มาก็ต้องถึงมรณะ ซึ่งไม่เที่ยงเป็นสังขตธรรมทุกอย่างในที่ใด
ก็ครั้งนั้นท่านพระอานนท์พุทธอนุชา ยังเป็นพระเสขบุคคลอยู่
ท่านหลั่งน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ณ ที่นั้นว่า
"พระโคตมีเถรี ตรัสอยู่หลัด ๆ ก็เสด็จไปนิพพานไม่นานเลย แม้พระพุทธเจ้าก็คงเสด็จไปนิพพานแน่นอน เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้วฉะนั้น"
พระโคตมีเถรีได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ผู้มีสุตะคือปริยัติอันล้ำลึกดังสาคร(พหูสูต) เอาใจใส่ในการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าซึ่งพร่ำรำพันอยู่ดังกล่าวมาว่า
"ลูกเอ๋ย เมื่อกาลน่าร่าเริงปรากฏขึ้นแล้ว พ่อไม่ควรที่จะเศร้าโศกถึงการตายของแม่ การนิพพานของแม่ใกล้เข้ามาแล้วลูกเอ๋ย
พระศาสดา พ่อได้ทูลเชื้อเชิญแล้วจึงได้ทรงอนุญาตให้แม่บวช
ลูกเอ๋ยพ่ออย่าเสียใจไปเลยความยากลำบากของพ่อมีผล ก็บทใดอาจารย์ฝ่ายเดียรถีย์เก่า ๆ ไม่เห็น บทนั้นเด็กหญิงซึ่งมีอายุ ๗ ขวบก็รู้แจ้งประจักษ์แล้ว พ่อจงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ แม่เห็นพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายบุคคลไปในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ แม่ก็จะไปในทิศนั้นนะลูก"
พระพุทธองค์ตรัสว่า
"โคตมี คนพาลเหล่าใด สงสัยในการตรัสรู้ธรรมของสัตว์ทั้งหลาย เธอจงแสดงอิทฤทธิ์เพื่อให้คนพาลเหล่านั้นละทิฏฐิเสีย "
ขอขอบคุณภาพจากhttp://buddha.dmc.tv/ธรรมะเพื่อประชาชน/
ภิกษูณีทั้งหมด ถวายบังคมแล้วแสดงปาฏิหารย์วิจิตรหลายอย่างตามพระพุทธานุญาต
ภิกษุณีทั้งหลาย นั้นได้พากันเหาะขึ้นสู่นภากาศ เป็นผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์รุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจรเป็นกลุ่มกันไป ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นได้แสดงฤทธิ์มิใช่น้อยเหมือนนายช่างทองผู้ชำนาญการทำทอง แสดงเครื่องประดับหลากชนิด ฉะนั้น
.
แล้วพากันลงมาจากนภากาศ หมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระบรมศาสดา
พระปชาบดีเถรีกราบทูลว่า
"นี่เป็นการถวายบังคมครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน"
แล้วตรัสกับพระนันทะเถระ พระราหุล และพระอานนท์ว่า
"พ่อจงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ แม่จะเห็นพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย"
แล้วกลับไปยังสำนักภิกษุณีเพื่อนิพพาน
พระบรมศาสดาพร้อมด้วยหมู่ชนจำนวนมาก ได้เสด็จส่งพระมาตุฉาจนถึงซุ้มประตู
ครั้งนั้นเกิดแผ่นดินใหญ่ไหว ทวยเทพพากันร่ำไห้ ฝนดอกไม้ตกลงมาขากอากาศ ขุนเขาก็กัมปนาทหวั่นไหว มหาสาครก็ปั่นป่วน
พระพุทธองค์ ตรัสสั่งพระอานนท์ให้ประกาศแก่เหล่าภิกษุทราบถึงการนิพพานของพระเถรี เหล่าสงฆ์ต่างก็มาประชุมกันเพื่อถวายพระเพลิง
หลังการถวายพระเพลิง พระอานนท์ได้นำอัฐิธาตุของพระนางมหาปชาบดีโคตีเถรี บรรจุลงในบาตรของพระเถรี นำถวายแด่พระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงประคองพระธาตุไว้ในพระหัตถ์ ตรัสว่า
"สังขารมีสภาพไม่เที่ยงแม้โคตมีผู้เป็นใหญ่กว่าภิกษุณีทั้งปวง ก็ยังต้องนิพพาน เปรียบเหมือนต้นไม้ แม้จะใหญ่โตปานใด ก็ต้องผุฟังไปเมื่อถึงกาล"
พระพุทธองค์ตรัสสั่งให้บรรจุอัฐิธาตุของพระนางปชาบดีโคตมีเถรี ไว้ ณ สถานที่ถวายพระเพลิงนั้น
ขอขอบคุณภาพจากwww.rsunews.net
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดยพระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทฺโธ)
http://www.tripitaka91.com/91book/book54/251_300.htm
http://www.dharma-gateway.com/bhikunee/pra-prachabordee-kotamee.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น