วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สู่แดนพระพุทธองค์ ๙๙ พระภัททากัจจานาเถรี พระนางยโสธราพิมพา




ขอขอบคุณภาพจากinnovation.kpru.ac.th

เมื่อพระเจ้าสุทโธทนะนิพพานแล้ว พระนางมหาปชาบดีโคตมีพร้อมกับมาตุคาม ๕๐๐ นาง ขอบรรพชาในสำนักของพระศาสดา

ส่วนทางพระนครกบิลพัสดุ์ หมู่อำมาตย์ได้ทำพิธีราชาภิเษกให้เจ้าชายมหานามะ ขึ้นครองราชสมบัติแทน.

พระนางยโสธราพิมพา พร้อมบริวาร ๑,๑๐๐ คน ก็พากันไปยังสำนักของพระมหาเถรี
ทรงได้รับคุรุธรรม ๘ บวชแล้ว ขณะนั้นพระนางมีพระชนมายุ ๔๐ พรรษา

ภายหลัง นางจำเดิมแต่บวชแล้วได้ปรากฏชื่อว่า ภัททากัจจานาเถรีตามพระนามเดิม
พระนางมีพระนามว่า ภัททากัจจานา ก็เพราะผิวพรรณแห่งสรีระของพระนางนั้นเป็นผิวพรรณเหมือนผิวของทองคำชั้นดีที่สุด.


ขอขอบคุณภาพจาก www.rojn-info.com

พระภัททากัจจานาเถรี (ยโสธาพิมพา ) ประชวร
สมัยหนึ่ง ราหุลสามเณรได้มาเยี่ยมพระชนนี ในวันนั้น ลมในพระอุทรของพระเถรีกำเริบขึ้น เมื่อพระโอรสเสด็จมาเพื่อจะเยี่ยมเยียน พระเถรีนั้นไม่สามารถจะออกมาพบได้ ภิกษุณีอื่น ๆ จึงมาบอกว่า พระเถรีไม่สบาย.
ราหุลสามเณรนั้นจึงไปเข้ายังสำนักของพระมารดา แล้วทูลถามว่า
พระองค์ควรจะได้ยาอะไร?

พระเถรีผู้ชนนีตรัสว่า
"ดูก่อนพ่อ ในคราวยังครองเรือนมารดาดื่มรสมะม่วงที่เขาปรุงประกอยด้วยน้ำตาลกรวดเป็นต้น โรคลมในท้องก็สงบระงับไป แต่บัดนี้ พวกเราเที่ยวบิณฑบาต เลี้ยงชีพจักได้รสมะม่วงนั้นมาจากไหน."



ราหุลสามเณรทูลว่า เมื่อหม่อมฉันได้จักนำมา แล้วก็ออกไป.
สามเณรราหุล ผู้มีอายุนั้นมีสมบัติมากมาย คือ มีพระธรรมเสนาบดีเป็นอุปัชฌาย์ (พระสารีบุตร ) มีพระมหาโมคคัลลานะเป็นอาจารย์ มีพระอานันทเถระเป็นอา มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบิดา.

แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านก็ไม่ไปยังสำนักอื่น ได้ไปยังสำนักของอุปัชฌาย์ไหว้แล้ว ได้ยืนมีอาการหน้าเศร้าอยู่.



ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวกับราหุลสามเณรนั้นว่า
ดูก่อนราหุล เหตุไรหนอ เธอจึงมีหน้าระทมทุกข์อยู่.

ราหุลสามเณรกล่าวว่า
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ โรคลมในท้องแห่งพระเถรีผู้เป็นมารดาของกระผม กำเริบขึ้น "



พระสารีบุตรเถระถามว่า
" ได้อะไรจึงจะควร ?"

ราหุลสามเณรเรียนว่า
 "พระมารดาเล่าให้ฟังว่า มีความผาสุกได้ด้วยรสมะม่วงที่ปรุงประกอบด้วยน้ำตาลกรวด"

พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า
 "ช่างเถอะ เราจักได้มา เธออย่าคิดไปเลย"

ในวันรุ่งขึ้นพระเถระพาราหุลสามเณรนั้นเข้าไปในเมืองสาวัตถี ให้สามเณรราหุลนั่งที่โรงฉันแล้วได้ไปยังประตูพระราชวัง

พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นพระเถระจึงนิมนต์ให้นั่ง

ในขณะนั้นเอง นายอุยยานบาลนำเอามะม่วงหวานที่สุกทั้งพวงจำนวนหนึ่งมาถวาย

พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงปอกเปลือกมะม่วงแล้วใส่น้ำตาลกรวดลงไป ขยำด้วยพระองค์เองแล้วได้ถวายพระเถระจนเต็มบาตร




พระสารีบุตรเถระออกจากพระราชนิเวศน์ ไปยังโรงฉันแล้วได้ให้แก่สามเณรราหุลโดยกล่าวว่า
" เธอจงนำรสมะม่วงนั้นไปให้มารดาของเธอ"

ราหุลสามเณรนั้นได้นำไปถวายแล้วพระเถรีมารดา พอพระเถรีบริโภคแล้วเท่านั้น โรคลมในท้องก็สงบ

ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงส่งคนไปด้วยดำรัสสั่งว่า
"พระเถระไม่นั่งฉันรสมะม่วงในที่นี้ เธอจงไปดูให้รู้ว่าพระเถระให้ใคร."
ราชบุรุษคนนั้นจึงไปพร้อมกับพระเถระ ทราบเหตุนั้นแล้วจึงมากราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ทรงทราบ


พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระดำริว่า
" ถ้าพระศาสดาจักอยู่ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ราหุลสามเณรจักได้เป็นขุนพลแก้ว พระเถรีจักได้เป็นนางแก้ว ราชสมบัติในสกลจักวาฬจักเป็นของท่านเหล่านี้ทีเดียว ควรที่เราจะพึงอุปฏฐากบำรุงท่านเหล่านี้ บัดนี้ เราไม่ควรประมาทในท่านเหล่านี้ ผู้บวชแล้วเข้ามาอาศัยเราอยู่"

จำเดิมแต่นั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสั่งให้ถวายรสมะม่วงแก่พระเถรีเป็นประจำ.




พระภัททากัจจานาเถรี (ยโสธาพิมพา) บรรลุอรหัตผล
ต่อมา พระภัททากัจจานาเถรี รับกรรมฐานจากพระพุทธองค์ และเจริญวิปัสสนา ๑๕ วัน ก็บรรลุพระอรหันต์

พระภัททากัจจานาเถรี เป็นผู้ช่ำชองชำนาญในอภิญญาทั้งหลายนั่งขัดสมาธิครั้งเดียว. ระลึกชาติได้ถึงอสงไขยหนึ่งยิ่งด้วยแสนกัปโดยการระลึกถึงเพียงครั้งเดียว

เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะต่างๆตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระเถรีนี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาผู้บรรลุอภิญญาใหญ่

ความจริง สำหรับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีผู้ที่สำเร็จอภิญญาใหญ่ได้ ๔ ท่าน สาวกที่เหลือหาสำเร็จไม่. เพราะสาวกที่เหลือย่อมสามารถระลึกชาติได้ตลอดแสนกัปเท่านั้น ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นระลึกไม่ได้.

แต่ท่านผู้บรรลุอภิญญาใหญ่ย่อมระลึกชาติได้อสงไขยหนึ่งยิ่งด้วยแสนกัป. ในศาสนาของพระศาสดาแม้ของพวกเราชน ๔ ท่านเหล่านี้คือ
พระอัครสาวก ๒ รูป
พระพากุลเถระ
พระนางภัททากัจจานาเถรี
สามารถระลึกชาติ ได้ประมาณเท่านี้.





พระนางภัททากัจจานาเถรีนิพพาน
ในพรรษาที่ ๔๓ แห่งพระผู้มีพระภาค เวลานั้นพระนางภัททากัจจานาเถรี มีพระชนมายุได้ ๗๘ พรรษา ได้เข้าไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเพื่อนิพพาน ดังความย่อในอปทานว่า
ดิฉันมีฤทธิ์มาก มีปัญญามาก มีภิกษุณี ๑,๑๐๐ องค์ เป็นบริวาร เข้าไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ถวายอภิวาทแล้วเห็นลายลักษณ์กงจักรของพระศาสดา แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ได้กราบทูลว่า
หม่อมฉันมีอายุ ๗๘ ปี ล่วงเข้าปัจฉิมวัยแล้ว ถึงความเป็นผู้มีกายเงื้อมลงแล้ว ขอกราบทูลลาพระมหามุนี หม่อมฉันมีวัยแก่ มีชีวิตน้อย จักละพระองค์ไป มีที่พึ่งของตนได้ทำแล้ว มีมรณะใกล้เข้ามา ในวัยหลัง ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉัน จักถึงความดับในคืนวันนี้



หมายเหตุ
อปทาน แปลว่า คำอ้างอิง เป็นประวัติส่วนตัวที่แต่ละท่านเล่าไว้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น