วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สู่แดนพระพุทธองค์ ๑๑๐ พระอานนท์ ๕



ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm

ยอมสละชีวิตแทนพระพุทธองค์
พระอานนท์เถระ ได้ปฏิบัติหน้าที่อุปัฏฐากพระบรมศาสดาด้วยความอุตสาหะมิได้บกพร่อง อีกทั้งมีความจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ชีวิตของตนก็ยอมสละแทนพระพุทธองค์ได้ เช่น 

ในคราวที่พระเทวทัตยุยงให้พระเจ้าอชาตศัตรูปล่อยช้างนาฬาคีรี ด้วยหวังจะให้ทำอันตรายพระพุทธองค์ ขณะเสด็จออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์

พระเทวทัตเข้าไปในโรงช้างตามที่พระราชาทรงอนุญาต แล้วสั่งคนเลี้ยงช้างว่า วันพรุ่งนี้ ให้ช้างนาฬาคิรีดื่มเหล้า ๑๖ หม้อ แล้วจงปล่อยไปในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ หากทำตามคำสั่งนี้ได้รางวัลค่าตอบแทนอย่างงดงามทีเดียว

พวกควาญช้างได้ฟังเช่นนั้น ก็หลงเชื่อในคำของพระเทวทัต วันรุ่งขึ้น จึงให้ช้างนาฬาคิรีดื่มเหล้า ๑๖ หม้อ ทำให้ช้างเกิดอาการเมามายอย่างหนัก เป็นช้างตกมัน ดุร้ายเกรี้ยวกราด ไม่มีใครสามารถจะห้ามอยู่ได้ เมื่อถูกปล่อยออกจากโรงช้าง ก็วิ่งไปตามถนน

 เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปกรุงราชคฤห์พร้อมกับภิกษุมากรูปด้วยกัน ทรงพระดำเนินมาถึงตรอกนั้น ช้างเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินมาแต่ไกล ได้ชูงวง หูชัน หางชี้ วิ่งรี่ไปทางพระพุทธองค์์

ภิกษุสงฆ์ที่ตามเสด็จมาด้วย เห็นดังนั้น ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าข้า ช้างนาฬาคิรีตัวนี้ดุร้าย หยาบช้า ฆ่ามนุษย์วิ่งเข้ามาในตรอกนี้แล้ว ขอพระสุคตเจ้าจงเสด็จกลับเถิด” พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้เสด็จกลับ แต่ตรัสบอกว่า มาเถิดภิกษุ เธออย่ากลัวเลย ไม่ใช่โอกาส ไม่ใช่ฐานะ ที่บุคคลอื่นจะปลงชีวิตของตถาคต เพราะพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น

ภิกษุสงฆ์แม้จะเชื่อในพระดำรัสของพระบรมศาสดา แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงทูลขอร้องให้เสด็จกลับถึงสามครั้ง แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสคำเดิม



ขอขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&date=27-07-2009&group=53&gblog=42


ในขณะนั้น มหาชนต่างก็รีบหนีขึ้นไปอยู่บนปราสาทบ้าง บนเรือนโล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง พวกทีไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสไร้ปัญญา ก็พากันกล่าวว่า พระมหาสมณโคดมจะถูกช้างทำร้ายเอา ส่วนผู้มีศรัทธาก็พากันวิจารณ์ว่า วันนี้อานุภาพของพระพุทธเจ้าจะปรากฏเลื่องลือ พวกเราจะได้ดูการต่อยุทธ์ของนาคคือช้างกับนาคคือพระพุทธเจ้า

บังเอิญว่า ช่วงนั้นมีหญิงแม่ลูกอ่อนคนหนึ่ง เห็นช้างวิ่งมาก็ตกใจกลัววางลูกไว้แล้ววิ่งหนีไป ช้างไล่หญิงนั้นไม่ทัน ก็กลับมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ทารกน้อยผู้น่าสงสาร ทารกนั้นร้องไห้ด้วยความตกใจกลัวยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระมหากรุณาแก่ทารกนั้น จึงตรัสเรียกช้างนาฬาคีรีให้กลับมาหาพระองค์ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ ช้างได้ฟังแล้วก็วิ่งตรงรี่เข้ามาหาพระพุทธเจ้าซึ่งกำลังประทับยืนอยู่กลางถนนพอดี

ฝ่ายบรรดาพระมหาสาวกทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ต่างก็รับอาสาที่จะทรมานช้างนาฬาคีรี แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า การทรมานช้างนาฬาคีรีไม่ใช่วิสัยของพระสาวก เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าแล้วทรงห้ามเสีย ขณะนั้นเองท่านพระอานนท์ซึ่งจงรักและภักดีในพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่ง ได้ก้าวออกไปยืนเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคิดว่า ขอช้างจงฆ่าเราเถิด เราจะสละชีวิตฉลองพระคุณของพระองค์ด้วยการตายแทนพระองค์


ขอขอบคุณภาพจากpranaivai.blogspot.com

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระพุทธดำรัสให้พระอานนท์หลีกไป อย่าป้องกันพระองค์เลย 
แต่พระอานนท์ได้กราบทูลว่า 

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตของพระองค์มีค่ายิ่งนัก พระองค์อยู่เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก เป็นดวงประทีปของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ของพระองค์อย่าเสี่ยงกับอันตรายครั้งนี้เลย ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าน้อย ขอให้ข้าพระองค์ได้สละสิ่งซึ่งมีค่าน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามาก เหมือนสละกระเบื้อง เพื่อรักษาซึ่งแก้วมณีเถิดพระเจ้าข้าฯ” 








ขอขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&date=27-07-2009&group=53&gblog=42

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า

 “อย่าเลยอานนท์ บารมีเราได้สร้างมาดีแล้ว ไม่มีใครสามารถปลงชีวิตของตถาคตได้ ไม่ว่าสัตว์ดิรัจฉานหรือมนุษย์หรือเทวดามารพรหมใดๆ”

ในขณะนั้นช้างนาฬาคิรีวิ่งมาจนจะถึงพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จึงได้แผ่พระเมตตาจากพระหฤทัย ซึ่งไปกระทบกับใจอันคลุกอยู่ด้วยความมึนเมาของช้างนาฬาคิรีได้ ช้างใหญ่หยุดชะงัก ใจสงบลงและหมอบลงแทบพระบาท พระพุทธองค์ทรงใช้พระหัตถ์ลูบที่ศีรษะพญาช้าง พร้อมกับตรัสว่า

ในขณะนั้นช้างนาฬาคิรีวิ่งมาจนจะถึงพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์จึงได้แผ่พระเมตตาจากพระหฤทัย ซึ่งไปกระทบกับใจอันคลุกอยู่ด้วยความมึนเมาของช้างนาฬาคิรีได้ ช้างใหญ่หยุดชะงัก ใจสงบลงและหมอบลงแทบพระบาท พระพุทธองค์ทรงใช้พระหัตถ์ลูบที่ศีรษะพญาช้าง พร้อมกับตรัสว่า



ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.kunkroo.com/catalog.php?idp=98

“นาฬาคิรีเอ๋ย เธอกำเนิดเป็นดิรัจฉานในชาตินี้ เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้ เธออย่าประกอบกรรมหนัก คือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน”

 ช้างนาฬาคิรีน้ำตาไหลพราก น้อมรับฟังพระพุทธดำรัสด้วยอาการดุษฎี

 (ในคัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวว่า ในอนาคตกาลนับจากพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้าไป จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกหลายพระองค์ และช้างนาฬาคิรี จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระติสสพุทธเจ้า)

นาฬาคิรึ คชวรํ อติมตฺตภูตํ
ทาวคฺคิจกฺกมสนีว สุทารุณนฺตํ
เมตฺตมฺพุเสกวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ

พระผู้มีพระภาคเจ้าจอมมุนีได้ชัยชนะต่อช้างตัวประเสริฐชื่อนาฬาคิรี ซึ่งเป็นช้างตกมันหนัก สุดแสนที่จะทารุณร้ายกาจ ด้วยนํ้าคือพระเมตตา ด้วยเดชแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้านั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงบังเกิดมีแก่ท่าน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://papatsro.wordpress.com/2013/02/07/พาหุง_3_ช้างนาฬาคีรี/

สารานุกรมวิกิพีเดีย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น