วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557
สู่แดนพระพุทธองค์ ๑๐๒ พระภัททากัจจานาเถรีกราบทูลลานิพพาน ๓
ขอขอบคุณภาพจาก internet
พระภัททากัจจานาเถรี (พิมพายโสธราภิกษุณี) รำลึกอดีตชาติหนหลังที่ตนเคยพลั้งพลาดอาจมีโทษผิดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พุทธบริษัทในเชตวันมหาวิหารเริ่มกระซิบรำพึง บางคนยกมือขึ้นทาบอก บางคนน้ำตาซึม เพราะฟังจากพระวาจาย่อมรู้ความหมายว่าที่แท้วันนี้พระเถรีมาเฝ้าก็เพื่อกราบทูลลาปรินิพพาน
นี่เองเป็นเหตุให้พระอานนท์ก้มหน้าไม่สบตาผู้ใด
พระศาสดาตรัสว่า
“ดูก่อนภัททากัจจานา
มหาชนส่วนมากเลื่อมใสเธอ อยากเห็นคุณของเธอ และมหาชนอีกมากยังสงสัยเธอ อยากเห็นคุณของเธอ เธอจงแสดงคุณของเธอให้พุทธบริษัททั้งหลายได้ประจักษ์และหายแคลงใจก่อนเถิด วันหน้าพวกเขาจะได้ไม่เสียใจว่าเห็นเธออยู่ตรงหน้าแล้วไม่ได้ชมคุณของเธอ”
ขอขอบคุณภาพจากwww.jitdrathanee.com
พระเถรีกราบถวายบังคมรับพุทธบัญชา
แล้วเหาะขึ้นสู่นภากาศ หลังคามหาวิหารบัดนี้คล้ายเปิดโล่งให้มหาชนแลเห็นสวรรค์ชั้นฟ้า เห็นเขาสิเนรุมาศตั้งตระหง่าย แลตลอดไปจนถึงขอบเขาจักรวาล
แล้วพระกัจจานาเถรีก็แสดงฤทธิ์ต่างๆ มากมาย อาทิเช่น แสดงกายใหญ่เท่าภูเขาจักรวาล มีศีรษะดังอุตรกุรุทวีป มีแขนซ้ายดังบุพวิเทหทวีป มีแขนขวาดังอมรโคยานทวีป มีสรีระดังต้นหว้าประจำทวีป มีดวงเนตรเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ เขาสุเมรุเป็นกระหม่อม ภูเขาจักรวาลเป็นหน้า ถวายบังคมพระบรมศาสดา
แล้วแสดงกายเป็นช้าง เป็นม้า ภูเขา ทะเล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เขาเมรุมาศ และแสดงเป็นท้าวสักกเทวราช
ขอขอบคุณภาพจาก lifestyle.hunsa.com
แล้วพระเถรีก็แสดงฤทธิ์ถือดอกไม้ปิดโลกธาตุทั้งพันเอาไว้ เนรมิตกายเป็นท้าวมหาพรหม กราบทูลพระบรมศาสดาว่า
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า
หม่อมฉันยโสธราขอถวายบังคมพระยุคลบาท หม่อมฉันเป็นผู้ชำนาญในอิทธิฤทธิ์ ชำนาญในทิพโสตธาตุ ชำนาญในเจโตปริยญาณ ชำนาญในปุพเพนิวาสญาณ และชำนาญในทิพจักษุญานอันหมดจด
หม่อมฉันละอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว หม่อมฉันเผาทำลายกิเลสหมดจดแล้ว บรรลุอาสวักขยญาน ถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์ บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก
พระภัททากัจจานาเถรีแสดงฤทธิ์เป็นอันมากแล้วก็กลับลงมาหมอบกราบแทบบาทพระบรมศาสดา การร่วมทางเป็นคู่รักคู่บารมีในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานบัดนี้สิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุดของสี่อสงไขยกับเศษแสนมหากัปก็จบลงด้วยคำกราบทูลลาว่า
หม่อมฉันยโสธราขอถวายบังคมพระยุคลบาท หม่อมฉันเป็นผู้ชำนาญในอิทธิฤทธิ์ ชำนาญในทิพโสตธาตุ ชำนาญในเจโตปริยญาณ ชำนาญในปุพเพนิวาสญาณ และชำนาญในทิพจักษุญานอันหมดจด
หม่อมฉันละอาสวะทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว หม่อมฉันเผาทำลายกิเลสหมดจดแล้ว บรรลุอาสวักขยญาน ถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์ บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก
ข้าแต่พระมหามุนี
หม่อมฉันมีอายุ ๗๘ ปี ล่วงเข้าปัจฉิมวัย ถึงความเป็นผู้มีกายเงื้อมลงแล้ว ขอกราบทูลลาพระองค์ไป
ข้าแต่พระมหามุนี
หม่อมฉันและพระเถรีสากิยานีทั้งหลายผู้ติดตามพระองค์มาสี่อสงไขยเศษแสนมหากัป บัดนี้พวกหม่อมฉันมีวัยชรา มีชีวิตเหลือน้อย มีมรณะใกล้เข้ามา ขอกราบทูลลาพระองค์ไป
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า
พวกหม่อมฉันจักถึงความดับไม่เหลือเชื้อในคืนวันนี้ จะเป็นผู้ไม่มีชาติ ชรา พยาธิ และมรณะอีก จักไปสู่นิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นบุรีอันไม่มีความแก่ ความตาย และไม่มีภัย
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันสุมิตตาพราหมณีกราบทูลลา
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันสุมนาเทวีกราบทูลลา
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันจันทกินรีกราบทูลลา
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันสีวลีกราบทูลลา
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันมัทรีกราบทูลลา
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันยโสธรากราบทูลลา
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันภัททากัจจานาและสากิยานีเถรีกราบทูลลา
ขอขอบคุณภาพจากwww.dhammajak.net
พระภัททากัจจานาเถรีตรัสกับพระราหุลว่า
“พ่อราหุล มารดานี้จะเห็นหน้าลูกเป็นปัจฉิมสุดท้ายแล้วในวันนี้ โทษใดที่มารดาเคยทำให้ลูกโกรธเคืองเจ้าจงอภัยให้แก่มารดาในวันนี้เถิด” พระนางกล่าวกับพระราหุลพุทธปิโยรส
พระราหุลค่อยๆ ก้มลงกราบ
“อันพระเดชพระคุณที่มารดามีต่อราหุลนี้มีมากมายอุ้มท้องประคองเลี้ยงรักษามาจนเติบใหญ่ บางครั้งก็ตบศีรษะตบปากบ้าง หากโทษผิดเหล่านั้นจะบังเกิดแก่ลูก ขอโปรดประทานอภัยด้วยเถิด”
ขอขอบคุณภาพจาก www.chongter.com
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ดูกร เจ้ายโสธราพิมพา อันตัวเจ้านี้มีคุณแก่เราตถาคตมาแต่กาลก่อนเราจักได้สำเร็จแก่พระบวรสัมโพธิญาณก็เพราะเจ้าเป็นสำคัญ เราทั้งสองเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาโทษผิดที่เจ้ามีต่อเราตถาคตในแต่ปางก่อน วันนี้เราขอยกโทษให้แก่เจ้าจนหมดสิ้น อนึ่งโทษานุโทษอันใดที่เราได้ล่วงเกินเจ้าในชาติที่ผ่านมา ตลอดจนถึงชาติปัจจุบัน ขอเจ้ายกโทษให้แก่เราตถาคตเสียให้สิ้น แล้วจงดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นเอกัตคตาบรมสุขไปก่อนเถิดนะ เจ้าพิมพา”
ขอขอบคุณภาพจากwww.dhammajak.net
แล้วพระองค์ทรงตรัสโอวาทแก่เหล่าภิกษุเพื่อรำลึกถึงพระนางเป็นครั้งสุดท้าย
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตลอดเวลาอันยาวนานของการบำเพ็ญบารมีสะสมความดีเพื่อตรัสรู้ พระนางพิมพายโสธราเถรีซึ่งเป็นคู่รักเพื่อนชีวิต ในอดีตชาติได้เสียสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ การสั่งสมบารมีของเรา เธอยอมสละแม้กระทั่งความสุขความสบายส่วนตน จนกระทั่งเราได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ อันเป็นชาติสุดท้ายของเราทั้งสอง อันเป็นประโยชน์ที่จะได้เผยแผ่สัจธรรมสู่มวลมนุษย์ เพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จักมีใครที่สร้างคุณอยู่เบื้องหลังการบรรลุธรรมเทียบเท่ากับเธอเช่นนั้นแล้วไม่มีอีกแล้ว”
พระบรมศาสดาสดับแล้วมีพระดำรัสเป็นคำสุดท้ายแก่พระเถรีว่า
“ภัททากัจจานาและสากิยานีเถรี
พวกเธอทั้งหลายจงพิจารณากาลอันควรเถิด”
บัดนั้น พระภัททากัจจานาเถรีพร้อมหมู่พระสากิยานีเถรีต่างก็ถวายบังคมลาพระศาสดาอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วค่อยๆ ลุกเดินออกจากวิหารไปอย่างสงบ ขณะที่พุทธบริษัทพร้อมใจกันยกมือขึ้นอัญชลีด้วยความเคารพจนหมู่พระเถรีพ้นไปจากสายตา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://saradham.siamtapco.com/wordpress /๒๗-พระภัททากัจจานาเถรี/
http://www.sujipuli.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539241829
http://www.palapanyo.com/pimpa
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี
จาก หนังสือ วิมุตติรัตนมาลี
รจนาโดย พระพรหมโมลี
วัดยานนาวา กทม.
ป้ายกำกับ:
[บทความ]
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น