วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ต้นหว้า

หว้า



ชื่อไทย หว้า
ชื่ออื่น ห้าขี้แพะ (เชียงราย)
ชื่อสามัญ Black plum, Jambolan plum, Java plum , Black Poum
ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium cumini (L.) Skeels
ชื่อวงศ์ MYRTACEAE



หว้าเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 10-35 เมตร ลำต้่นเปลาตรง เปลือกต้นค่อนข้างเรียบสีเทาอ่อน มีกิ่งก้านมาก แข็งแรง ปลายกิ่งห้อยย้อยลง ใบดกหนา ทำให้เป็นทรงพุ่มรูปไข่แน่นทึบ



ลักษณะใบ


ใบอ่อนจะแตกสีแดงเรื่อ ๆ ใบแก่หนา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ ๆ เรียงตรงข้าม รูปใบรีหรือรูปไข่กลับ เกลี้ยงเป็นมัน เส้นแขนงใบละเอียดอ่อนและเรียงขนานกัน มีจุดน้ำมันที่บริเวณขอบใบ

ลักษณะดอก


ขอขอบคุณภาพจาก http://www.pharmacy.mahidol.ac.th

เป็นดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบหรือปลายยอด กลีบดอกสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ฐานรองดอกรูปกรวย มีกลีบเลี้ยงสี่กลีบ กลีบดอกสี่กลีบ มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก
ออกดอกและติดผลราวเดือน ธันวาคม-มิถุนายน

ลักษณะผล


ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.opec.go.th


ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.panmai.com

ผลอ่อนสีเขียว พอเริ่งแก่ออกสีชมพู สีม่วงแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำ รูปรีแกมรูปไข่หรือรูปกระสวย สีม่วงแดง ฉ่ำน้ำ ผิวเรียบมัน ใช้กินได้มีรสเปรี้ยว
ผลแก่ราวเดือน พฤษภาคม มีเมล็ด 1 เมล็ด รูปไข่




ต้นหว้า มีถิ่นกำเนิดจากเอเชียเขตร้อนจากจากอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในไทยพบทั่วไปตามป่าดิบชื้นและป่าผลัดใบ ตั้งแต่ระดับใกล้น้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 1,100 เมตร
ต้นหว้าเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบุรี



ขอขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net

สรรพคุณ
เปลือกต้น ต้มน้ำดื่มแก้บิด อมแก้ปากเปื่อย คอเปื่อย
ใบ แก้บิด
ผลดิบ แก้ท้องร่วง
ผลสุก กินได้ ใช้ทำเครื่องดื่ม มีรสเปรี้ยวอมฝาด สามารถนำไปทำน้ำผลไม้ ไวน์ เป็นเครื่องดื่มที่ให้สีม่วงกินแก้ท้องร่วงและบิด
เมล็ด แก้ท้องร่วง บิด ถอนพิษต้นและเมล็ดแสลงใจ (Strychnine) มีสารช่วยลดน้ำตาลในเลือด
เนื้อไม้ ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในร่ม






“ต้นหว้า” มีชื่อในภาษาบาลี-สันสกฤตว่า ‘ชมฺพุ’ ซึ่งใน คัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง “ต้นหว้า” ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำชมพูทวีป ซึ่งตั้งอยู่ตอนใต้ของภูเขาสิเนรุ ไว้ว่า

“อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มีภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร 84,000 โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ ภูเขาใหญ่ทั้ง 7 นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของจาตุมหาราช เป็นที่ที่เทวดาและยักษ์อาศัยอยู่ ภูเขาหิมวาสูง 500 โยชน์ ยาวและกว้าง 3,000 โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง 84,000 ยอด ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ 15 โยชน์ ลำต้นสูง 50 โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง) ก็ยาว 50 โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ 100 โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่าชมพูทวีป”


ขอขอบคุณภาพจาก http://www.thaimtb.com/

ต้นหว้าเป็นต้นไม้ในพุทธประวัติ
. ต้นหว้าเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอยู่ 2 เหตุการณ์ได้แก่
1. ตอนตามเสด็จพระราชบิดา ในพิธีแรกนาขวัญ
เมื่อครั้นเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชมมายุ 8 ปี ได้เสด็จไปพร้อมกับพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เจ้าชายประทับนั่งอยู่ใต้ร่มไม้หว้าที่บรรดาพี่เลี้ยงบริวารได้จัดถวายเพราะเห็นว่าภายใต้ร่มหว้านี้มีความร่มรื่นและปลอดภัย ขณะที่เจ้าชายประทับนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพังภายใต้ร่มไม้หว้านั้น ทรงเกิดความวิเวกขึ้น ทรงกำหนดลมหายใจเข้า - ออกเป็นอารมณ์และก็ทรงบรรลุปฐมฌาน แม้เวลาบ่ายคล้อยแล้วแต่เงาไม้หว้ายังคงอยู่ที่เดิมดุจเวลาเที่ยงวัน ผู้คนต่างเห็นเป็นอัศจรรย์ ครั้นพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบและทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็เกิดความอัศจรรย์ในพระทัยและเกิดความเลื่อมใสก้มลงกราบพระโอรส เพื่อบูชาคุณธรรมทางบุญฤทธิ์ปาฏิหาริย์ (เป็นการกราบพระโอรสครั้งที่สองของพระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งทรงกราบพระโอรสทั้งหมดสามครั้งด้วยกัน)



2. ตอน พระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ปราบทิฐิมานะชฎิลชื่อ อุรุเวลกัสสปะ
มีการกล่าวถึงต้นหว้าไว้ดังนี้
ครั้น เมื่อถึงเวลาฉัน อุรุเวลกัสสปะได้ไปทูลพระพุทธเจ้าว่า ถึงเวลาแล้วมหาสมณะ ภัตตาหารเสร็จแล้ว ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าทรงถือเอาโอกาสนั้นที่จะทรงแสดงปาฎิหาริย์แล้วตรัสกับอุรุกัสสปะว่า “ดูกรกัสสปะ ท่านไปก่อนเถิด เราจักตามไป”
พระผู้มีพระภาคทรงส่งชฎิลอุรุเวลากัสสปะไปแล้ว เสด็จไปยังต้นหว้าประจำชมพูทวีป ทรงเก็บผลหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วเสด็จกลับมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อนอุรุเวลกัสสปะอุรุเวลกัสสปะเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน รู้สึกแปลกใจจึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่มหาสมณะ ท่านมาทางไหน ข้าพเจ้ามาก่อนท่านแต่ท่านมานั่งในโรงบูชาเพลิงก่อน
ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าตรัสอุรุเวลกัสสปะว่า “ดูกรกัสสปะ เราส่งท่านไปแล้วได้เก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปแล้ว จึงมานั่งในโรงบูชาเพลิงนี้ก่อน ดูกรกัสสปะ ผลหว้านี้แลสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่นและรส ถ้าท่านต้องการเชิญบริโภคเถิด” อุรุเวลกัสสปะตอบว่า “อย่าเลย มหาสมณะท่านเก็บผลไม้นี้มา ท่านนั่นแหละจงฉันผลหว้านี้เถิด”
อุรุเวลกัสสปะคิดว่า “พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ เพราะส่งเรามาก่อนแล้วยังเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปแล้วมานั่งในโรงเพลิงก่อน แต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ เหมือนอย่างเราแน่


ขอขอบคุณภาพจาก http://www.pharmacy.mahidol.ac.th

ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 19 สุตตันตปิฎกที่ 11 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค โพธิปักขิยวรรคที่ 7 รุกขสูตรที่ 1 ปัญญินทรีย์เป็นยอดแห่งโพธิปักขิยธรรม พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเหล่าภิกษุว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ในชมพูทวีปชนิดใดชนิดหนึ่ง ต้นหว้าโลกกล่าวว่า เป็นยอดของต้นไม้เหล่านั้น แม้ฉันใด โพธิปักขิยธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ปัญญินทรีย์ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นยอดแห่งโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น เพราะเป็นไปเพื่อความตรัสรู้ ฉันนั้นเหมือนกัน”


ขอขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net

นอกจากนี้ ต้นหว้ายังเกี่ยวพันกับเรื่องราวของภิกษุณีเอตทัคคะในทางตรัสรู้ฉับพลัน คือพระภัททากุณฑลเกสา ตามประวัติกล่าวว่า
พระมหาสาวิการูปนี้เดิมเป็นธิดาของเศรษฐีในราชคฤห์ และเคยเป็นภรรยาโจรร้าย ซึ่งเป็นนักโทษประหาร ภายหลังโจรคิดจะฆ่านางเพื่อเอาทรัพย์สมบัติ แต่นางใช้ปัญญากำจัดโจรร้ายได้ และได้ไปบวชเป็นปริพาชิกาในสำนักของพวกนิครนถ์ (นักบวชนอกศาสนา)
นางได้เรียนวิชาโต้วาทีจนสำเร็จ ปริพาชกผู้เป็นอาจารย์จึงมอบกิ่งหว้าให้ และบอกให้นางไปแสวงหาความรู้เพิ่มเติมยังที่อื่นๆ โดยหากมีใครตอบคำถามของนางได้ ก็ให้นางเป็นศิษย์ของผู้นั้น นางจึงถือกิ่งหว้าเที่ยวท้าผู้มีวาทะ โดยปักกิ่งหว้าบนกองทราย แล้วประกาศว่า “ถ้าผู้ใดสามารถที่จะโต้วาทะกับเราได้ก็จงเหยียบกิ่งหว้านี้” จึงมีผู้คนเรียกนางว่า “ชัมพุปริพาชิกา”
ในที่สุดนางก็ได้พบกับพระสารีบุตร และได้ถามปัญหาแก่กัน จนนางเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์จนบรรลุเป็นพระอรหันต์


ขอขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net


หว้า เป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของแถบเอเชีย สามารถขึ้นได้ตั้งแต่ป่าดิบใกล้ทะเลขึ้นไปถึงเขาสูงไม่น้อยกว่า 800 เมตร ขึ้นได้ดีในที่ค่อนข้างชื้น ดินอุดมสมบูรณ์ด้วยปุ๋ยธรรมชาติ การขยายพันธุ์ส่วนใหญ่ใช้เมล็ดเพาะ และสัตว์พวกนก และค้างคาว สามารถช่วยในการแพร่พันธุ์ได้อย่างดี โดยนำเมล็ดที่กินเข้าไปถ่ายในที่อื่น ๆ นอกจากนี้ยังใช้ การตอนหรือทาบกิ่งก็ได้ ผลของหว้าจะมีขนาดเล็ก ใหญ่ ไม่แน่นอน แต่มีรายงานจากของอินเดียว่า หว้ามีผลยาว ถึง 3 ซม. พระที่วัดบวรฯ เคยบอกว่า มีหว้าต้นหนึ่งทางด้านคลองที่คั่นโบสถ์ มีผลใหญ่มาก และบอกว่ามีคนนำมา จากประเทศอินเดีย ถ้าเป็นจริงก็เข้าใจว่าคงเป็นหว้าที่มีชื่อเดิมทางพฤกษศาสตร์ว่า Eugenia jambolana Lam. แต่ในภายหลังชื่อนี้กลายเป็นชื่อพ้อง Syzygium cumini (L.) Skeels ไปเสียแล้ว



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th
http://www.panmai.com/PvTree/tr_38.shtml
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=238.0
http://www.oknation.net/blog/Bansuan/2010/07/24/entry-3
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16507
http://www.thaimtb.com/cgi-bin/viewkatoo.pl?id=237268&st=91
วิกิพีเดีย


ต้นหว้าเป็นพันธุ์ไม้ที่พบเห็นได้ทั่วไป ตามสวน คันนา ริมถนนหนทางทั่วไปตามหมู่บ้าน ส่วนใหญ่มาจากแพร่พันธุ์โดยนกมากกว่าการเพาะปลูก

ลูกหว้ายังมีพ่อค้าแม่ค้าเก็บมาขายตามตลาดนัดชุมชน คนขายจะโรยเกลือป่่นละเอียดบนกองลูกหว้าในถาดที่ใส่ มองดูแล้วก็สวยงามน่าซื้อเพราะมีเกลือสีขาวประดับหน้าลูกหว้าสีดำ เป็นการแต่งแต้มสีไปในตัวแต่เจตนาก็คือโรยเกลือเพื่อปรุงแต่งรสชาติเปรี้ยวของลูกหว้า บางคนก็ใช้วิธีพรมน้ำที่ละลายเกลือแล้วก็มี
ลูกหว้าจะออกผลหลังมะม่วง(ตามฤดูกาล) ไม่นานนัก

ปัจจุบันมีพันธุ์ต้นหว้าพันธุ์ใหม่ที่พ่อค้าแม่ค้านำมาขายกันเรียกว่าหว้าพันธุ์เกษตร ซึ่งคนขายบอกว่า ลูกใหญ่และมีรสชาติหวาน พลอยโพยมซื้อมาปลูกหลายต้นได้สัก ห้า หก ปี แล้ว ปลูกไว้หลายต้นเพราะอยากให้นกมาเก็บกินเติบโตช้ามาก และยังไม่เคยให้ดอกให้ผลเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น