พระพาหิยเถระ
กุลบุตรชื่อ พาหิยทารุจีริยะ อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้ที่มหาชนสักการะบูชา เคารพยำเกรง ด้วยเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์
เทวดาผู้เป็นญาติสายโลหิตในกาลก่อนของกุลบุตรนั้นเข้ามาหากล่าวว่าท่านมิได้เป็นอรหันต์ และไม่มีปาฏิหารย์ที่จะให้เป็นพระอรหันต์ ก็บัดนี้ในชนบททางเหนือมีนครชื่อว่าสาวัตถี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในพระนครนั้น ท่านเป็นอรหันต์แน่นอน ทั้งทรงแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อความเป็นอรหันต์ด้วย
กุลบุตรพาหิยทารุจีริยะ ได้ยินแล้วสลดใจหลีกไปจากท่าสุปปารกะ เดินทางไปเฝ้าพระศาสดา ณ พระเชตวันวิหารในทันที โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่ง
ที่พระเชตวันวิหาร กุลบุตรเห็นภิกษุมากด้วยกันเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง จึงเข้าไปถามหาพระบรมศาสดา
ภิกษุกล่าวว่า " พระพุทธองค์เสด็จสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี"
กุลบุตรนั้นรีบตามไป ได้เห็นพระพุทธองค์กำลังเสด็จบิณฑบาต มีอินทรีย์สงบ มีอินทรีย์สำรวม จึงเข้าไปหมอบกราบแทบพระบาทในระหว่างถนน กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม
พระพุทธองค์ตรัสว่า "พาหิยะ เวลานี้ยังมิใช่กาลอันสมควร เพราะเรายังบิณฑบาตอยู่ "
พาหิยะได้กราบทูลวิงวอนขออีกเป็นครั้งที่สอง
ทั้งนี้เพราะพระบรมศาสดาทรงเห็นว่าปีติที่มีกำลังมากของกุลยบุตรนี้แม้จะได้ฟังธรรมแล้วก็จักไม่สามารถบรรลุได้ พระองค์มีพระประสงค์จะให้พักเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเสียก่อน เพราะพาหิยะเดินทางมาทั้งสิ้น ๑๒๐ โยชน์ ในราตรีเดียวเท่านนั้น
แม้กระนั้นพาหิยะก็วิงวอนขออีกเป็นครั้งที่สาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
" ดูก่อนพาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นสักว่าเห็น เมื่อฟังสักว่าฟัง เมื่อทราบสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มี ในกาลใดเธอย่อมไม่มี ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ "
ขณะนั้น
พาหิยทารุจีริยะ ส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนา จิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทา ๔ ด้วยพระโอวาทโดยย่อในระหว่างถนนนั่นเอง
พาหิยทารุจีริยะ กราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
"บาตรและจีวรของเธอมีครบแล้วหรือ"
พาหิยทารุจีริยะ กราบทูลว่า
"ยังไม่ครบพระเจ้าข้า"
พระศาสดาจึงตรัสว่า
"เธอจงไปแสวงหาบาตรและจีวรมาก่อนเถิด"
แล้วพระองค์เสด็จหลีกจากไป
ขณะที่พาหิย
กำลังแสวงหาอัฎฐบริขาร อมนุษย์ที่มีเวรต่อกันในกาลก่อน เข้าสิงในร่างของโคแม่ลูกอ่อน ขวิดพาหิยะเข้าที่โคนขาซ้าย พาหิยะถึงแก่ความตายทันที
พระพุทธองค์เสด็จกลับจากบิณฑบาต เสด็จออกจากกรุงสาวัตถีพร้อมภิกษุทั้งหลาย ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะ ล้มอยู่ที่กองขยะในระหว่างทาง จึงโปรดให้ภิกษุทั้งหลายช่วยกันนำสรีระของ พาหิยทารุจีริยะ ไปกระทำฌาปนกิจ รับสั่งให้เก็บอัฐิธาตุ แล้วโปรดให้สร้างสถูปไว้ที่หนทางใหญ่
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามถึงคติของพระพาหิยะ
พระพุทธองค์ตรัสว่า
" พาหิยทารุจีริยะ เป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำให้เราลำบากด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา พาหิยทารุจีริยะนิพพานแล้วด้วย อนุปาทิเลสนิพพาน "
ภิกษุสงสัยว่า พาหิยะบรรลุเมื่อใด
พระพุทธองค์ตรัสว่า
"ในกาลที่ฟังธรรมของเราในระหว่างถนน"
ภิกษุทูลถามอีกว่า
"พระบรมศาสดามิได้ทรงแสดงธรรมมากเลย เพราะเหตุใด พาหิยะจึงได้บรรลุอรหัตผล"
พระพุทธองค์ตรัสว่า
" ธรรมน้อยหรือมากนั้น มิใช่เหตุ" แล้วตรัสคาถาว่า
"คาถาบทเดียวฟังแล้วสงบระงับ ย่อมประเสริฐกว่าคาถาตั้งพัน แต่ไม่ประกอบด่วยประโยชน์"
จบพระธรรมเทศนามีผู้บรรลุธรรมอีกมากมาย
ต่อมาภายหลังพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพาหิยทารุจีริยะ ท่ามกลางสงฆ์ว่า
" เธอเป็น ขิปปภิญญา " (ผู้ตรัสรู้เร็ว)
อนุปาทิเลสนิพพาน น. การดับกิเลสพร้อมทั้งเบญจขันธ์, (ศน.) พระอรหันต์เมื่อยังมีชีวิตอยู่เรียกว่าได้อุปาทิเสสนิพพาน คือ ความดับกิเลส แต่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ ครั้นท่านสิ้นชีวิตลง เรียกว่า ได้อนุปาทิเสสนิพพาน คือดับทั้งกิเลสทั้งเบญจขันธ์.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดยพระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทฺฺโธ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น