วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สู่แดนพระพุทธองค์ ๗๔ เรื่องราวคราวพุทธกาล ๕ พระพาหิยเถระ

พระพาหิยเถระ



กุลบุตรชื่อ พาหิยทารุจีริยะ อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะใกล้ฝั่งสมุทร  เป็นผู้ที่มหาชนสักการะบูชา เคารพยำเกรง ด้วยเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์

เทวดาผู้เป็นญาติสายโลหิตในกาลก่อนของกุลบุตรนั้นเข้ามาหากล่าวว่าท่านมิได้เป็นอรหันต์ และไม่มีปาฏิหารย์ที่จะให้เป็นพระอรหันต์ ก็บัดนี้ในชนบททางเหนือมีนครชื่อว่าสาวัตถี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในพระนครนั้น ท่านเป็นอรหันต์แน่นอน ทั้งทรงแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อความเป็นอรหันต์ด้วย

กุลบุตรพาหิยทารุจีริยะ ได้ยินแล้วสลดใจหลีกไปจากท่าสุปปารกะ เดินทางไปเฝ้าพระศาสดา ณ พระเชตวันวิหารในทันที โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่ง

ที่พระเชตวันวิหาร กุลบุตรเห็นภิกษุมากด้วยกันเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง จึงเข้าไปถามหาพระบรมศาสดา
ภิกษุกล่าวว่า " พระพุทธองค์เสด็จสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี"

กุลบุตรนั้นรีบตามไป ได้เห็นพระพุทธองค์กำลังเสด็จบิณฑบาต มีอินทรีย์สงบ มีอินทรีย์สำรวม จึงเข้าไปหมอบกราบแทบพระบาทในระหว่างถนน กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม

พระพุทธองค์ตรัสว่า "พาหิยะ เวลานี้ยังมิใช่กาลอันสมควร เพราะเรายังบิณฑบาตอยู่ "




พาหิยะได้กราบทูลวิงวอนขออีกเป็นครั้งที่สอง

ทั้งนี้เพราะพระบรมศาสดาทรงเห็นว่าปีติที่มีกำลังมากของกุลยบุตรนี้แม้จะได้ฟังธรรมแล้วก็จักไม่สามารถบรรลุได้ พระองค์มีพระประสงค์จะให้พักเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเสียก่อน เพราะพาหิยะเดินทางมาทั้งสิ้น ๑๒๐ โยชน์ ในราตรีเดียวเท่านนั้น

แม้กระนั้นพาหิยะก็วิงวอนขออีกเป็นครั้งที่สาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

" ดูก่อนพาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นสักว่าเห็น เมื่อฟังสักว่าฟัง เมื่อทราบสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มี ในกาลใดเธอย่อมไม่มี ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ "

ขณะนั้น พาหิยทารุจีริยะ ส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนา จิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทา ๔ ด้วยพระโอวาทโดยย่อในระหว่างถนนนั่นเอง

พาหิยทารุจีริยะ กราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
"บาตรและจีวรของเธอมีครบแล้วหรือ"
พาหิยทารุจีริยะ กราบทูลว่า
"ยังไม่ครบพระเจ้าข้า"
พระศาสดาจึงตรัสว่า
"เธอจงไปแสวงหาบาตรและจีวรมาก่อนเถิด"
แล้วพระองค์เสด็จหลีกจากไป



ขณะที่พาหิย กำลังแสวงหาอัฎฐบริขาร อมนุษย์ที่มีเวรต่อกันในกาลก่อน เข้าสิงในร่างของโคแม่ลูกอ่อน ขวิดพาหิยะเข้าที่โคนขาซ้าย พาหิยะถึงแก่ความตายทันที

พระพุทธองค์เสด็จกลับจากบิณฑบาต เสด็จออกจากกรุงสาวัตถีพร้อมภิกษุทั้งหลาย ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะ ล้มอยู่ที่กองขยะในระหว่างทาง จึงโปรดให้ภิกษุทั้งหลายช่วยกันนำสรีระของ พาหิยทารุจีริยะ ไปกระทำฌาปนกิจ รับสั่งให้เก็บอัฐิธาตุ แล้วโปรดให้สร้างสถูปไว้ที่หนทางใหญ่

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามถึงคติของพระพาหิยะ
พระพุทธองค์ตรัสว่า

" พาหิยทารุจีริยะ เป็นบัณฑิต ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำให้เราลำบากด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา พาหิยทารุจีริยะนิพพานแล้วด้วย อนุปาทิเลสนิพพาน "

ภิกษุสงสัยว่า พาหิยะบรรลุเมื่อใด
พระพุทธองค์ตรัสว่า

"ในกาลที่ฟังธรรมของเราในระหว่างถนน"

ภิกษุทูลถามอีกว่า
"พระบรมศาสดามิได้ทรงแสดงธรรมมากเลย เพราะเหตุใด พาหิยะจึงได้บรรลุอรหัตผล"
พระพุทธองค์ตรัสว่า
" ธรรมน้อยหรือมากนั้น มิใช่เหตุ" แล้วตรัสคาถาว่า
"คาถาบทเดียวฟังแล้วสงบระงับ ย่อมประเสริฐกว่าคาถาตั้งพัน แต่ไม่ประกอบด่วยประโยชน์"

จบพระธรรมเทศนามีผู้บรรลุธรรมอีกมากมาย



ต่อมาภายหลังพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพาหิยทารุจีริยะ ท่ามกลางสงฆ์ว่า
" เธอเป็น ขิปปภิญญา " (ผู้ตรัสรู้เร็ว)

อนุปาทิเลสนิพพาน น. การดับกิเลสพร้อมทั้งเบญจขันธ์, (ศน.) พระอรหันต์เมื่อยังมีชีวิตอยู่เรียกว่าได้อุปาทิเสสนิพพาน คือ ความดับกิเลส แต่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ ครั้นท่านสิ้นชีวิตลง เรียกว่า ได้อนุปาทิเสสนิพพาน คือดับทั้งกิเลสทั้งเบญจขันธ์.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดยพระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทฺฺโธ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น