วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สู่แดนพระพุทธองค์ ๘๐ ลุมพินีวัน




ขอขอบคุณภาพวาดของอาจารย์พันธ์ศักดิ์ จักกะพากที่www.manager.co.th



ก่อนที่มหาบุรุษอุบัติในคัมภีร์ทศชาติพรรณาถึงการบำเพ็ญบารมีในชาติปางก่่อนว่า

ครั้งสุดท้ายพระโพธิสัตว์ทรงเป็นเทพบุตรประทับอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ก่อนเสด็จอุบัติลงสู่โลกมนุษย์ ทรงพรรณนาถึง ปัญจมหาวิโลกนะ ๕ ประการ คือ

กาลอันควร
ทวีปอันควร
ประเทศอันควร
ตระกูลผู้ให้กำเนิดอันควร
มารดาผู้มีอายุอันควร


ทรงพิจารณาเห็นว่าตระกูลของผู้ครองนครศากยะ เป็นที่เหมาะแก่การอุบัติและผู้ควรรับรองกำเนิด คือพระนางสิริมหามายา อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ จึงตัดสินพระทัยเสด็จลงสู่พระครรภ์ เมื่อวันอาสาฬหปูรณมีเพ็ญดือน ๘


ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm


คราวเมื่อพระนางสิริมหามายาได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้าสุทโธทนะแล้ว คืนหนึ่งพระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีท้าวมหาพรหมทั้งสี่มายกแท่นบรรทมของพระนางไปวาง ณโ คนต้นสาละใหญ่ ณ ป่าหิมพานต์ เหล่าเทพธิดานำพระนางไปสรงสนานในสระอโนดาต ซึ่งอยู่ข้าง ๆ ต้นสาละใหญ่นั้น เพื่อชำระล้างมลทิน ขณะนั้นมีลูกช้างเผือกเชือกหนึ่งถือดอกบัวสีขาวลงมาจากภูเขา ร้องเสียงลั่น เข้ามาทำประทักษิณ ๓ รอบ แล้วเข้าสู่อุทรทางเบื้องขวาของพระนาง นับแต่นั้นมาพระนางก็เริ่มทรงพระครรภ์

เมื่อพระครรภ์ของพระนางแก่จวนครบทศมาส (๑๐ เดือน) ตามขนบธรรมเนียมของคนอินเดียในสมัยนั้น ฝ่ายหญิงจะต้องเดินทางไปคลอดบุตรที่บ้านพ่อแม่ของตน พระนางมายาเทวีจึงต้องเดินทางไปมีประสูติกาลที่พระราชวังเดิมของกษัตริย์โกลิยะ พระราชบิดาของพระนางที่เมืองเทวทหะนคร ซึ่งอยู่ไม่ไกลกรุงกบิลพัสดุ์นัก

ตามพุทธประวัติกล่าวว่า ลุมพินีตั้งอยู่กึ่งทางระหว่ากรุงกบิลพัสดุ์กับทวทหะนคร เมื่อขบวนยาตราไปได้ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร จากนครกบิลพัศดุ์เมื่อถึงป่าลุมพินี พรนะนางเจ้าประชารพระครรภ์จะประสูติ โปรดให้หยุดขบวนประทับใต้ต้นสาละ ทรงยืนเหนี่ยวกิ่งสาละ ณ วันวิสาขปุรณี ดิถีเพ็ญเดือน ๖ แห่งปีก่อนพุทธศก ๘๐ เวลาสายแดดอ่อน ยังไม่เที่ยงวัน เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารได้ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา ทรงเพียบพร้อมด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการครบบริบูรณ์ อันเป็นลักษณะแห่งองค์พุทธางกูรโดยเฉพาะ

เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งที่เมื่อได้เสด็จออกจากพระครรภ์ ทรงแสดงอิทธิปาฏิหารย์ ก้าวพระบาทออกไปได้ ๗ ก้าว เป็นบุพนิมิตหมายว่า ในสมัยนั้นพระองค์ประสูติบริสุทธิ์ไม่เปรอะเปื้อนพระองค์ด้วยครรภ์มลทิน มีหมู่เทพยดามาคอยรับก่อน มีธารน้ำร้อนน้ำเย็นพร้อมที่จะสรงสนานพระวรกาย
สำหรับการประสูตินี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าให่พระอานนท์ฟังภายหลังว่า



ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm

"ดูก่อนอานนท์หญิงอื่น ๆ ย่อมนั่งคลอดบ้าง นอนคลอดบ้าง ส่วนมารดาแห่งพระโพธิสัตว์หาเป็นอย่างนั้นไม่ มาดาแห่งโพธิสัตว์ย่อมยืนคลอดพระโพธิสัตว์"


" ดูก่อนอานนท์ ในกาลใดพระโพธิสัตว์ออกจากครรภ์แห่งมารดา ในกาลนั้นเป็นผู้สะอาดหมดจด ไม่เปื้อนด้วยเมือก ไม่เปืิ้อนด้วยเสมหะ ไม่เปื้อนด้วยเลือดด้วยหนองของไม่สะอาดอย่างใด ๆ เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนแก้วมณีที่วางอยู่บนผ้าเนื้อเกลี้ยงอันมาแต่แคว้นกาสี แก้วก็ไม่เปื้อนผ้า ผ้าก็ไม่เปื้อนแก้ว เพราะเป็นของสะอาดหมดจดทั้งสองแห่ง"


ดูก่อนอานนท์ โพธิสัตว์คลอดแล้วเช่นนี้ เหยียบพื้นดินด้วยฝ่าเท้าอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตรไปทางเหนือ ก้าวไปเจ็ดก้าว มีฉัตรขาวกั้นอยู่เบื้องบน ย่อมเหลียวดูทิศทั้งหลายและทรงเปล่งวาจาประกาศความสูงสุดว่า

 "อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺสมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปฺนพฺภโวติ"

 แปลว่า

 " เราเป็นผู้เลิศที่สุด เราเป็นผู้เจริญที่สุด และเป็นผู้ประเสริฐสุด ในโลก การเกิดของเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพต่อไปไม่มีอีก"


ขอขอบคุณภาพจากwww.jitdrathanee.com

ในคราวที่พระโพธิสัตว์ประสูติ อสิตดาบสหรือฤาษีกาฬเทวิล บางท่านเรียกว่ากัณหเทวิล และกัณหสิริ ก็มี ก่อนบวชเป็นฤาษี เคยรับราชการอยู่ในราชสำนักพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์มาก่อน ในตำแหน่งราชปุโรหิตมาแต่สมัยของพระเจ้าสีหหนุ พระบิดาของพระเจ้าสุทโธทนะ และได้รับแต่งตั้งเป็นปุโรหิตเมืื่อพระเจ้าสุทโธทนะครองราชย์ ต่อมาได้ขอทูลลาออกบวช และได้บรรลุสมาบัติ ๘ พร้อมทั้งอภิญญา ซึ่งมีฤิทธิ์มาก สามารถหายตัวไปยังที่ต่าง ๆ ได้ อาทิ เช่น ป่าหิมพานต์ และสวรรค์ขั้นดาวดึงส์


ขอขอบคุณภาพวาดของอาจารย์พันธ์ศักดิ์ จักกะพากที่www.pinterest.com

ในวันประสูติของพระโพธิสัตว์ อสิตดาบสได้หายตัวไปพักผ่อนบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในวิมานหลังหนึ่ง ซึ่งเกิดจากบุญของท่าน หลังจากออกจากฌาณ ได้มายืนอยู่ที่หน้าประตูวิมาน มองเห็นธงทิวของเหล่าเทวาปลิวไสวจากท้องถนนจ และชาวสวรรค์ มีท้าวสักกะและเทวดา ประโคมดนตรีฟ้อนรำสนุกสนาน พร้อมทั้งกล่าวสรรเสริญคุณของพระโพธิสัตว์ จึงถามทวยเทพชาวสวรรค์ ได้ความว่า พระโพธิสัตว์อุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ ณ ป่าลุมพินีของเจ้าศากยะ เป็นผู้สุงสุดในหมู่สัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อันมีพุทธลีลาที่อาจหาญดุจพระยาราชสีห์


ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm

อสิตดาบสได้ฟังคำตอบ จึงรีบลงมาเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะ และทูลขอโอกาสเข้าเฝ้าพระราชกุมารด้วย เมื่อฤาษีอสิตด เห็นแล้ว ก็ทราบทันทีด้วยอำนาจแห่งอภิญญา ว่า พระราชกุมารนี้คือพระโพธิสัตว์ที่ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่า สูงสุดในในบรรดาสรรพสัตว์ทวิบาท พระกุมารจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

จากนั้นก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจว่าตนเองชราแล้ว มีอายุไม่ทันได้เห็นพระราชกุมารตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทั้งเสียใจว่า ตนนั้นเมื่อตายไปแล้วก็จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีรูปร่าง หมดโอกาสที่จะได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรม เมื่อทูลลากลับแล้ว นึกถึงลูกของน้องสาวที่เป็นเด็กชายชื่อนาลกะ เห็นว่ามีอุปนิสัยน้อมไปในทางออกบวช จึงขออนุญาติน้องสาวนำหลานไปบวชเป็นฤาษี เพื่อการสืบทอดเจตนาอันยิ่งนั้น
สวนลุมพินีวัน สถานที่ประสูติชองพระพุทธองค์ อยู่ในตำบล "ลุมมินเด" ก่อนนั้นอยู่ในเขตประเทศอินเดีย ต่อมาเมื่อมีการแบ่งปันเขตแดนหลังสงคราม ลุมพินีวันตกอยู่ในเขตของประเทศเนปาล
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล โดยพระราชรัตนรังษี (ว.ป.วีรยุทฺโธ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น