วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สู่แดนพระพุทธองค์ ๙๖ พระมาตุจฉา มหาปชาบดีโคตมี






ขอขอบคุณภาพจากth.wikipedia.org


พระมหาปชาบดีโคตรมีเถรี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้รัตตัญญู

พระมหาปชาบดีเถรี เป็นราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ แห่งพระนครเทวทหะ เป็นพระกนิษฐภคินีของพระนางสิริมหามายา (พุทธมารดา) พระประยูรญาตถวายพระนามว่า “โคตมี”

พระนางสิริมหามายาทรงอภิเษกเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะศากยราช แห่งพระนครกบิลพัสดุ์ ต่อมาพระบรมโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายราชเทวี พอประสูติพระราชโอรส คือเจ้าชายสิทธัตถะได้เพียง ๗ วัน พระนางสิริมหามายาราชเทวี ก็สวรรคตไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสวรรค์ชั้นดุสิต



ขอขอบคุณภาพจากwww.pathongko.com

พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงมอบให้การเลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถะแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ผู้ศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา (พระน้านาง) ซึ่งต่อมาได้สถาปนาพระนางไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี และได้ประสูติพระราชโอรสนามว่า “นันทกุมาร”


พระนางปชาบดีโคตมี ทรงมอบพระนันทกุมารแก่พระพี่เลี้ยงนางนมให้เป็นผู้ดูแลพระนันทกุมารผู้เป็นพระราชโอรสแท้ ๆ ส่วนพระองค์เองทรงประคบประหงมบำรุงเจ้าชายสิทธัตถะด้วยพระองค์เอง
และต่อมาทรงประสูติพระราชธิดานามว่า “รูปนันทา”


ขอขอบคุณภาพจาก www.rmutphysics.com
.

ครั้นเมื่อพระบรมโพธิสัตว์เสด็จออกผนวชได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว เสด็จไปโปรดพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร และทรงแสดงธรรมกถาโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา ในระหว่างถนน ให้ดำรงอยู่ในอริยภูมิชั้นพระโสดาบัน เต่อมาเสด็จเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาและพระน้านางยังพระบิดาให้ดำรงอยู่ในพระสกทาคามี ยังพระน้านางให้บรรลุพระโสดาปัตติผล ต่อมาทรงแสดงมหาปาลชาดกโปรดพระเจ้าสุทโธทนะ พอจบลง พระพุทธบิดาทรงบรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี

ในกาลหนึ่งที่พระพุทธองค์ยังประทับอยู่ที่ นิโครธาราม นั้น พระนางปชาบดีโคตมี ทรงเห็นพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีความโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ทรงดำริว่า บุตรของเราอยู่ท่ามกลางวังตลอดเวลา ๒๙ ปี เรายังมิเคยได้ถวายสิ่งใดเลย แม้สักว่ากล้วยเพียงผลเดียว
บัดนี้เราจักถวายจีวรแก่บุตรนั้นด้วยผ้าที่เราทำเอง



ขอขอบคุณภาพจากdmcchinese.tv



ขอขอบคุณภาพจากwww.dmc.tv



พระนางทรงให้นำฝ้ายมาจากตลาด ทรงขยำฝ้ายนั้นด้วยพระหัตถ์ กรอด้ายอย่างละเอียด ทรงเรียกช่างศิลป์ทั้งหลายให้ทอผ้า เสด็จไปจับปลายกระสวยตามสมควรแก่กาล

ในกาลที่ผ้านั้นทอเสร็จแล้ว ทรงถือผ้าคู่นั้นกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่า
"หม่อมฉันจักไปถวายจีวรนี้แก่บุตรของเรา"
พระเจ้าสุทโธทนะตรัสสั่งให้เตรียมเสด็จ ตกแต่งทางตั้งแต่ประตูพระราชวังจนถึงพระวิหารนิโครธาราม

( ในปฐมสมโพธิกล่าวว่าฝ้ายนั้นมีสีเหลืองดังทอง โดยพระนางปลูกต้นฝ้ายเอง ฝ้ายออกดอกมาเป็นสีเหลืองหม่น เสร็จแล้วทอเองจนสำเร็จเป็นผืน แล้วใส่ผอบทองนำไปถวายพระพุทธเจ้า)




ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.dmc.tv/

เมื่อถึงพระวิหารแล้ว พระนางกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้ายเอง ทอเอง ตั้งใจอุทิศแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ทรงโปรดรับผ้าใหม่คู่นี้ของหม่อมฉันเถิด "

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด"
พระนางทูลอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง พระพุทธองค์ก็ยังตรัสว่า

"ดูก่อนโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์ เพราะเจตนา ๓ คือ ก่อนถวาย ๑ กำลังถวาย ๑ โสมนัสเมื่อถวายแล้ว ๑ ความปราถนาของพระนางจักรวมเป็นอันเดียวกัน จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน แก่พระนาง "

อีกประการหนึ่ง ที่พระพุืธองค์ทรงให้ถวายสงฆ์ ก็เพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังได้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย เมื่อชนรุ่นหลังยำเกรงในสงฆ์ ก็จักบำรุงสงฆ์ด้วยปัจจัยสี่ สงฆ์เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ ก็จักตั้งใจศึกษาพระพุทธวจนะ และกระทำสมณธรรม พระพุทธศาสนาจักดำรงอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี



ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.dmc.tv/

พระพุทธองค์ทรงหวังจะให้พระน้านางได้อานิสงส์ใหญ่ เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นแล้วว่าพระน้านางทรงถึงพร้อมไปด้วยบุพพเจตนา (คือ ก่อนให้ก็ดีใจ)มุญจนเจตนา (คือ ขณะให้ก็เลื่อมใส)และ อปราปรเจตนา (คือ ครั้นให้ไปแล้วก็มีจิตที่แช่มชื่นเบิกบาน)ดังนั้น หากพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ถวายวัตถุทานอันประณีตนี้แด่คณะสงฆ์เป็นสังฆทานแล้ว บุญก็จะบังเกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาลกับตัวของพระนางเอง

ทรงแสดงธรรมเรื่องปาฏิปุคคลิกทาน (การถวายทานที่เฉพาะเจาะจง)จะมีอานิสงส์น้อยกว่าการถวายทานแบบสังฆทานเป็นอย่างมาก ซึ่งการถวายทานแบบปาฏิปุคคลิกทาน จะมีอานิสงส์ที่ไล่เรื่อยไปตามลำดับ ว่าจะมีผลมากมายเพียงใด
จาก สัตว์เดียรฉาน
ปุถุชนผู้ทุศีล
ปุถุชนผู้มีศีลเป็นปกติ
นักบวชนอกพระพุทธศาสนาผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม
ผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้เกิดขึ้น แม้ผู้ปฏิบัติจะเป็นพระภิกษุสามเณรที่พึ่งบวชในวันนั้น  พระโสดาบัน (หรือผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้เกิดขึ้น)
พระสกทาคามี (หรือผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้เกิดขึ้น)
พระอนาคามี (หรือผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้เกิดขึ้น)
พระอรหันต์
พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ถึงกระนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงสรรเสริญว่า ปาฏิปุคคลิกทานมีอานิสงส์ที่มากกว่าการถวายสังฆทานเลย
พระพุทธองค์กลับทรงยืนยันพร้อมกับตรัสบอกให้พระนางปชาบดีโคตมี ถวายผ้าสาฎกทั้งสองผืนนั้นแด่คณะสงฆ์แทน



ขอขอบคุณภาหจาก http://www.dmc.tv/

เมื่อพระนางปชาบดีโคตมีได้ทราบอานิสงส์แห่งสังฆทานเช่นนี้แล้ว ความรู้สึกปลื้มปีติและปราโมทย์ใจก็พลันบังเกิดขึ้นมาแทนที่

พระนางจึงทรงน้อมถวายผ้าสาฎกทั้งสองผืนนั้นแด่คณะสงฆ์ โดยเริ่มถวายจากพระอัครสาวกทั้งสอง และพระอสีติมหาสาวกก่อน แต่พระอรหันตสาวกเหล่านั้น กลับไม่มีรูปใดรับผ้าของพระนางเลย ด้วยเหตุนี้ พระนางจึงได้นำผ้าไปถวายพระสาวกรูปอื่นๆ ไล่ลงมาเรื่อยๆ แต่สุดท้าย ก็ยังไม่มีภิกษุรูปใดยอมรับผ้าของพระนาง จะเหลือก็แต่ พระอชิตะ ภิกษุผู้นั่งอยู่ท้ายแถว ซึ่งอชิตภิกษุรูปนี้เป็นพระภิกษุผู้บวชใหม่ในพระศาสนา และในที่สุด

พระนางก็จำต้องเข้าไปถวายผ้าทั้งสองผืนนั้นแด่พระอชิตะ ซึ่งพระอชิตะก็ได้รับผ้าทั้งสองผืนนั้นไว้

ด้วยความที่พระนางปชาบดีโคตมี ทรงทุ่มเทในการทำผ้าสาฎกทั้งสองผืนอย่างสุดหัวใจ แต่เมื่อครั้นนำผ้าสาฎกมาถวายแด่พระบรมศาสดาและคณะสงฆ์แล้ว กลับไม่มีพระอสีติมหาสาวกรูปใดยินดีน้อมรับผ้าผืนนี้เลยแม้สักรูปเดียว จะมีก็แต่อชิตภิกษุที่เป็นพระบวชใหม่ที่นั่งอยู่ท้ายแถวเท่านั้น
พระนางปชาบดีโคตมีจึงทรงรู้สึกเสียพระทัยเป็นอย่างมาก เพราะผู้ที่ได้รับผ้าสาฎกใหม่เนื้อดีนั้น แทนที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออสีติมหาสาวก แต่กลับกลายเป็นพระภิกษุที่เพิ่งบวชใหม่ชื่อว่า
“พระอชิตะ”



ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.dmc.tv/

เมื่อพระบรมศาสดาทรงเห็นพระน้านางทรงมีน้ำพระเนตรไหลอาบทั้งสองแก้ม เพราะทรงรู้สึกเสียพระทัยที่ไม่มีพระอสีติมหาสาวกรูปใด ยินดีรับผ้าสาฎกที่พระน้านางตั้งใจนำมาถวายเลยแม้สักรูปเดียว พระพุทธองค์จึงทรงเข้าพระทัยว่า ทำไม...พระน้านางจึงทรงรู้สึกน้อยใจเช่นนั้น และทำไม...ท่านอชิตภิกษุจึงเป็นผู้ได้รับผ้าสาฎกของพระน้านางในครั้งนี้ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงใช้โอกาสในครั้งนี้ เพื่อที่จะประกาศให้พระน้านางรวมถึงเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้รับรู้ไปพร้อมๆกันว่า ท่านอชิตะ
ผู้เป็นภิกษุที่รับผ้าสาฎกจากพระน้านางของพระองค์นั้น ความจริงแล้วเป็นผู้ที่สมควรได้รับผ้าสาฎกคู่นี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ท่านจักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสเรียกพระอานนท์ให้ไปนำบาตรของพระองค์มา เมื่อพระอานนท์ได้นำบาตรของพระพุทธองค์มาแล้ว พระบรมศาสดาก็ทรงประคองบาตรด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้าง พร้อมกับทรงอธิษฐานจิตว่า “บาตรใบนี้เป็นบาตรของเรา ผู้ใดมีกำลังบุญที่คู่ควรกับบาตรใบนี้ ขอให้ผู้นั้นจงนำบาตรมาคืนแก่เรา”ทันทีที่สิ้นเสียงคำอธิษฐาน บาตรของพระพุทธองค์ก็ได้ลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วก็อันตรธานหายวับไปทันที

ภายหลังจากบาตรของพระพุทธองค์ได้หายวับไปในอากาศแล้ว พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ซึ่งเป็นเลิศกว่าภิกษุอื่นทางด้านดวงปัญญา ก็ได้ทราบถึงความตั้งใจในพระอากัปกิริยาที่พระบรมศาสดาทรงแสดงออกมาให้เห็น ก่อนใครทั้งหมดว่า “พระพุทธองค์ทรงมีความตั้งใจที่จะให้ตนเอง และเหล่าพระอสีติมหาสาวกทั้งหมด ไปตามหาบาตรใบนี้มาคืนแด่พระพุทธองค์”ถึงแม้พระสารีบุตรจะสามารถล่วงรู้ความตั้งใจของพระพุทธองค์ แต่ท่านก็ไม่สามารถเข้าใจในพระประสงค์ที่แท้จริงของพระพุทธองค์ว่า จะให้ตามหาบาตรไปเพื่ออะไร




จากนั้น พระสารีบุตร ก็ได้ขันอาสาที่จะไปนำบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาเป็นรูปแรก โดยท่านได้เหาะลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วทำการตรวจตราหาบาตรของพระพุทธองค์ด้วยดวงปัญญาอันเป็นเลิศของท่าน หลังจากที่เวลาล่วงเลยผ่านไปได้ไม่นานนัก ด้วยความที่พระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญามาก ท่านจึงรู้ตัวว่า “กำลังบุญของท่านคงไม่เพียงพอที่จะนำบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาเป็นแน่”_เมื่อท่านเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ท่านจึงได้เหาะกลับมาพร้อมกับมือที่ว่างเปล่า




หลังจากนั้น พระโมคคัลลานะผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ซึ่งเป็นเลิศกว่าภิกษุอื่นทางด้านการแสดงฤทธิ์ ก็ได้ขันอาสาที่จะไปตามหาบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาเป็นรูปต่อไป และในทันทีที่ท่านออกไปตามหาบาตร ท่านก็ได้แสดงฤทธานุภาพอันเป็นเลิศของท่าน เพื่อช่วยในการตามหาบาตรของพระพุทธองค์ (อาทิ เช่น ปาฏิหาริย์กายออกไปอย่างมากมาย เพื่อให้แต่ละกายแยกกันตามหาบาตร เป็นต้น)_ถึงแม้ท่านจะเป็นเลิศกว่าภิกษุรูปอื่นทางด้านการแสดงฤทธิ์มากเพียงใดก็ตาม แต่ถึงกระนั้น พระโมคคัลลานะก็ไม่สามารถนำบาตรมาถวายคืนแด่พระพุทธองค์ได้



แม้แต่ พระอนุรุทธะ ซึ่งเป็นเลิศกว่าภิกษุอื่นทางด้านทิพยจักษุ เมื่อท่านได้ขันอาสาที่จะไปตามหาบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาแล้ว ท่านก็ได้ใช้ทิพยจักษุอันเป็นเลิศของท่าน เล็งแลหาบาตรของพระพุทธองค์ในทันที ถึงแม้ท่านจะใช้ทิพยจักษุตรวจดูสัตว์โลกอยู่ตลอดเวลา แต่ในครั้งนี้...ไม่ว่าท่านจะตรวจตราดูสักแค่ไหน บาตรของพระบรมศาสดาก็ไม่มีมาปรากฏให้เห็นในข่ายญาณของท่านเลย




นอกจาก พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอนุรุทธะ จะขันอาสาที่จะไปตามหาบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาแล้ว พระอสีติมหาสาวกทั้งหลาย ซึ่งแต่ละรูปล้วนเป็นเลิศทางด้านต่างๆ ก็ได้ขันอาสาที่จะไปหาบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปนานสักเพียงใด ก็ยังไม่มีพระอสีติมหาสาวกรูปใดที่จะสามารถนำบาตรมาถวายคืนแด่พระบรมศาสดาได้เลยแม้สักรูปเดียว ในที่สุด พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงรับสั่งกับท่านอชิตภิกษุว่า
“อชิตะ...เธอจงไปนำบาตรของตถาคตมาเถิด”

เมื่อท่านอชิตภิกษุได้ฟังพระบรมศาสดาทรงรับสั่งเช่นนั้น ก็พลันเกิดความคิดขึ้นมาว่า
“เหตุการณ์ในวันนี้...มันช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ขนาดพระอสีติมหาสาวกทั้งหลาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ผู้มีฤทธานุภาพเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้น กลับไม่มีผู้ใดที่จะสามารถนำบาตรมาถวายคืนแด่พระพุทธองค์ได้เลย ส่วนตัวเรานั้นยังเป็นภิกษุปุถุชนธรรมดา ผู้ถูกกิเลสครอบงำอยู่ เหตุไฉนหนอ...พระจอมไตรจึงตรัสสั่งให้เราแสวงหาบาตร จะต้องมีเหตุพิเศษสำหรับเราเป็นแน่

ครั้นแล้ว ท่านอชิตภิกษุก็ได้ลุกขึ้นไปยืนอยู่กลางแจ้ง จากนั้นก็ได้มองขึ้นไปบนอากาศ แล้วกระทำสัตยาธิษฐานว่า
“อันตัวเรานี้...ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเพื่อหวังประพฤติพรหมจรรย์ และรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากห้วงแห่งวัฏสงสาร หากว่าศีลของเรายังบริสุทธิ์มิได้มีสิ่งใดด่างพร้อย ก็ขอให้บาตรของพระบรมศาสดา จงมาสถิตในมือของเราด้วยเถิด”




เมื่อท่านอชิตภิกษุกระทำสัตยาธิษฐานจบลง ท่านก็ได้เหยียดมือออกไป ในทันทีที่มือทั้งสองได้เหยียดออกไปจนเกือบจะสุดแขน บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตกลงมาจากนภากาศ มาประดิษฐานอยู่ที่มือของท่าน เสมือนเป็นการบอกเหตุว่า...
บาตรใบนี้เป็นบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐยิ่งกว่าพระอสีติมหาสาวกและเหล่าพระสาวกทั้งหลาย
การที่พระอชิตะสามารถรับบาตรของพระบรมศาสดาได้นั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะท่านไม่ได้เป็นเพียงแค่พระสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่พระอชิตภิกษุผู้นี้...ที่แท้ก็คือหน่อเนื้อแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะได้มาตรัสรู้ธรรมในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า

ในกาลนั้นเอง พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานพุทธพยากรณ์แก่พระอชิตะว่า
“ท่านอชิตภิกษุรูปนี้...ที่แท้แล้ว คือ หน่อเนื้อแห่งพุทธะที่จักได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ ซึ่งจะมีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า " พร้อมกันนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสบอกถึง...พระนามของพุทธบิดา พุทธมารดา สถานที่กระทำความเพียร โพธิบัลลังก์ พระอัครสาวกซ้าย-ขวา พระอัครสาวิกาซ้าย-ขวา และพุทธอุปัฏฐาก เป็นต้น




ครั้นพระนางปชาบดีโคตมีได้ทรงสดับตรับฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทานพุทธพยากรณ์แก่ท่านอชิตภิกษุแล้ว ก็ยิ่งทำให้ความปลื้มปีติใจของพระนางปชาบดีโคตมีที่มีมากอยู่แล้ว กลับทับทวีหนักยิ่งขึ้นไปเดิม


ด้วยความปลื้มปีติใจที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้จบ ที่ได้รู้ว่าตนเองจักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอน ท่านอชิตภิกษุจึงได้น้อมนำผ้าสาฎกคู่นั้นไปประดับตกแต่งอยู่ภายในพระคันธกุฎีของพระพุทธองค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อกระทำการสักการะ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการแบ่งเอาผ้าผืนหนึ่งไปขึงอยู่บนเพดานที่อยู่ภายในพระคันธกุฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนผ้าอีกผืนหนึ่งก็นำไปตัดแบ่งออกเป็นสี่ส่วน แล้วนำผ้าแต่ละส่วนไปผูกเป็นผ้าม่านห้อยลงมาจากมุมทั้งสี่ของเพดานอย่างสวยงาม

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.dmc.tv

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น