วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

[บทความ] ...แทบเท้ามารดา...


[บทความ] ...แทบเท้ามารดา...


“แม่” คำเดียวสั้น ๆ ที่บุพการีทุกคน ต้องใช้เลือดเนื้อและชีวิตเข้าแลกจึงจะได้มา แม่ต้องทุกข์ยากลำบากเพียงไหน กว่าจะครบเก้าเดือนที่อุ้มท้องมา ต้องอดอยากปากแห้ง กินอะไรตามใจก็ไม่ได้ เพราะห่วงใยว่าจะกระทบกระเทือนกับลูกในท้อง...

ความเจ็บปวดแทบขาดใจยามคลอดลูกแต่ละคน แม่ก็ต้องทนแทบชีวิตจะดับดิ้น ต้องอดตาหลับขับตานอน เฝ้าถนอมกล่อมเลี้ยงมาจนใหญ่ ยามลูกเจ็บไข้ไม่สบาย ดังแม่จะป่วยไปด้วย ยามลูกมีทุกข์แม่ยิ่งทุกข์ระทมใจ เอาชีวิตเข้าแลกความสุขเพื่อลูกได้แม่ก็ยินดี...

แล้วฉะนี้ควรหรือ...เด็กยุคใหม่ทั้งหลายเอ๋ย...ที่เจ้าเฝ้าแต่หมิ่นแคลนพ่อ - แม่ของตน ถ้าท่านไม่รักเรา มีหรือที่เราจะรอดมาจนเติบใหญ่ มีหน้ามากล่าวหาว่าท่านไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา ตนเป็นเพียงผลพวงแห่งกามารมณ์เท่านั้น นี่นะหรือ...ความคิดของปัญญาชน...

พ่อ – แม่เป็นดั่งพระอรหันต์ของลูก มีแต่ความรักความปรารถนาดีต่อลูกอย่างแท้จริง แม้แต่มหาโจร เสือปล้น ฆาตกรโหด ก็ล้วนต้องการให้ลูกเป็นคนดีทั้งสิ้น ปรารถนาจะให้ลูกอยู่ดีมีสุขกันทั้งนั้น แล้วเราเล่า...ทำอะไรให้พ่อ – แม่ชื่นใจบ้าง...

ถ้าเราสามารถระลึกชาติย้อนหลังไปได้ จะพบว่าในชาติที่กุศลกรรมส่งผล บางชาติเราได้พบพระพุทธเจ้า บางชาติเราพบพระปัจเจกพุทธเจ้านับแสนองค์ บางชาติเราพบพระอรหันต์เจ้านับร้อยนับพันองค์ เราพบท่านผู้ทรงความดีสูงสุดมากถึงเพียงนั้น

พ่อ – แม่เป็นแดนเกิด ถ้าไม่มีท่านมีหรือที่เราจะได้เกิดมา และได้ทำความดีอย่างทุกวันนี้ ชาติที่เราพบพระผู้บริสุทธิ์นับหมื่นนับแสนองค์ เราก็มีพ่อมีแม่อย่างละหนึ่งท่านเท่านั้น ไม่ว่าใครก็มาทดแทนตำแหน่งอันยิ่งใหญ่นี้ในใจของเราไม่ได้เป็นอันขาด...
พระคุณของพ่อ – แม่ ยากจะเปรียบปานได้ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “บุรุษผู้มีกำลัง นำบิดา มารดาวางไว้บนบ่าแห่งตน เลี้ยงดูท่านเป็นอย่างดี ให้ท่านกิน ถ่าย นอน อยู่บนนั้น สิ้นเวลาร้อยปียังทดแทนไม่ได้แม้แต่คุณค่าคำหนึ่งแห่งน้ำนมที่กลืนกิน”

ในโลกนิติคำโคลง เปรียบพระคุณพ่อ – แม่เอาไว้ว่า “คุณแม่หนา หนักเพี้ยงพสุธา คุณบิดรดุจอา กาศกว้าง” นับว่ามากมายจนประเมินค่าไม่ได้ ผู้ฆ่าพระอรหันต์ต้องอนันตริยกรรม ผู้ฆ่าพ่อ – ฆ่าแม่ก็ต้องอนันตริยกรรมเช่นกัน ดังนั้น การเปรียบว่า พ่อ – แม่ คือพระอรหันต์ของลูก จึงไม่นับว่าเกินเลยแม้แต่น้อย...

เรื่องพระอรหันต์ของลูกนั้น ชาวจีนกล่าวถึงนิทานไว้ว่า ชายหนุ่มผู้ใฝ่รู้ต้องการพบพระอรหันต์ เพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ จึงลามารดาคนเดียวของตน เพื่อเดินทางไปแสวงหาครูบาอาจารย์ แม้มารดาจะทัดทานเช่นไรก็ไม่เป็นผล...

เขาบุกป่าฝ่าดงจนได้พบเซียนผู้วิเศษกลางป่าเขา พอทราบความประสงค์เข้า ท่านผู้วิเศษก็หัวเราะลั่น กล่าวว่า “เจ้าไม่น่าลำบากลำบนมาถึงเพียงนี้เลย ละแวกบ้านของเจ้าก็มีพระอรหันต์ ท่านใส่เสื้อกลับตะเข็บ และใส่รองเท้ากลับข้าง จงสังเกตให้ดี...”

ชายหนุ่มดีใจนัก รีบเดินทางกลับภูมิลำเนาแห่งตน วันหนึ่งก็ถึงบ้านเกิด เขาจึงกลับบ้านไปหามารดาก่อน ฝ่ายแม่เฒ่าพอได้ยินเสียงลูกก็ผวาออกจากบ้านมาด้วยความดีใจ ชายหนุ่มมองดูมารดาอย่างพินิจพิจารณา แล้วทรุดกราบลงแทบเท้า...

ที่แท้ดวงใจผู้เป็นแม่นั้น เฝ้าห่วงใยครุ่นคะนึงมิรู้วาย พอแว่วเสียงลูกชายก็ดีใจดังได้แก้ว คว้าเสื้อสวมรองเท้าอย่างรีบร้อน เลยใส่เสื้อกลับตะเข็บ ใส่รองเท้ากลับข้าง ชายหนุ่มจึงทราบทันทีว่า นี่คือพระอรหันต์ที่ท่านผู้วิเศษกล่าวถึง...
“ขาดแม่เหมือนแพแตก” นาวาชีวิตคล้ายดังจมหาย ถ้าไร้ซึ่งแม่คอยคัดท้าย “ขาดพ่อมีแม่ ก็เหมือนมีทั้งพ่อและแม่ ขาดแม่มีพ่อก็เหมือนไม่มีอะไรเลย...” ในพระไตรปิฎกก็กล่าวไว้ชัดเจนว่า ผู้ฆ่าแม่ต้องอนันตริยกรรมหนักกว่าฆ่าพ่อ ๑ เท่าตัว...

ถ้าดูจากความทุกข์ยากแสนสาหัส ยามอุ้มท้องมาก็ดี ยามคลอดก็ดี ทั้งยังต้องกลั่นเลือดในอกของตน ให้ลูกดื่มกินเพื่อยังชีวิตก็ดี เราก็จะเห็นได้ว่า พระคุณของแม่นั้น ดูท่าจะล้ำหน้าพ่อไปแล้วจริง ๆ...

อาตมามีแม่ที่เป็นยอดวีรสตรีของลูก ๆ ท่านทำงานลำบากตรากตรำราวเครื่องจักรที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หาเลี้ยงลูก ๆ ทั้งสิบสองชีวิตส่งเสียให้เล่าเรียนทุกคน ทั้งยังต้องเลี้ยงดู – รักษาพยาบาลพ่อที่ป่วยหนักมาเป็นสิบ ๆ ปี...

ในสามโลกนี้หาใครยิ่งใหญ่กว่าแม่คงจะไม่มี ไม่ว่าจะเจ็บไข้เหนื่อยยากเพียงไหนไม่เคยบ่น ดูจากผลงานยามลูกทุกคนตั้งหลักปักฐานได้แล้ว คงต้องให้แม่คนอื่นซักสิบสองคน จึงจะสามารถสร้างผลงานนี้ขึ้นมาเท่ากับแม่ของอาตมาคนเดียว...

ยามเป็นฆราวาส อาตมายังพอจะหาเลี้ยง – รักษาพยาบาล ยามแม่เจ็บป่วยบ้าง พอบวชเข้ามา ก็ทำได้เพียงแต่ส่งขนมไปให้แม่ทุกเดือน อย่าตำหนิกันเลยนะ...พระพุทธเจ้า ท่านอนุญาตให้ภิกษุเลี้ยงดูบิดา – มารดาได้ โดยไม่ผิดธรรมวินัย...

อาตมาเป็นคนโชคดี บวชมาถึงจะห่างแม่ไปบ้าง ก็ได้พบกับแม่อีกท่านหนึ่ง คือ อาจารย์เบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์ พอเห็นหน้าท่าน อาตมาก็เรียกแม่อย่างเต็มปากเต็มคำ...

ไม่ทราบว่าเป็นวาสนาผูกพันมาแต่ปางไหน พอเห็นก็รักเคารพท่านออกจากใจ และท่านเองก็รับในความเป็นแม่ในทันทีเช่นกันต่างคนต่างบอกไม่ถูก คล้ายกับแม่ลูกที่จากกันนานแสนนาน แล้วพลันมาพบหน้ากันฉะนั้น...

ยามเจ็บไข้ได้ป่วย แม่ก็เฝ้าห่วงใย เหมารถรับไปรักษาพยาบาลจนสุดความสามารถ ฐานะแม่ก็ใช่ว่าจะดีนัก แต่ด้วยความรักความห่วงใน “ลูกพระ” แม่ก็ยอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่แม่เองก็ยอบแยบออกปานนั้น...
ไปเยี่ยมแต่ละครั้ง แม่ก็แสนจะยินดี ตื่นเต้นจนแทบทำงานไม่ได้ ขอแว่บกลับมาสงเคราะห์ลูกพระซักนิดก็ยังดี ทั้งอาหารการกิน ที่อยู่ ที่นอน แม้แต่สบงจีวร แม่ก็ซักให้เสร็จสรรพ ถ้าไม่ให้ทำ แม่ก็ห่อเหี่ยวท้อแท้ ลูกพระไม่รักแม่แล้วหรือไร...

เมื่อออกธุดงค์ ความจริงอาตมาจะรีบเดินทางไปหาญาติโยมที่กรุงเทพฯ กลับต้องรีบตีรถไปหาแม่ที่อู่ทองอย่างด่วนจี๋ ไปถึงจึงทราบว่าทำไมต้องมานี่ก่อน แม่อดข้าวเย็นรักษาศีลแปด ขอผลบุญคุ้มครองลูกพระให้ปลอดภัย ถ้ายังไม่เห็นลูกพระเพียงใด ก็จะยอมอดทนรักษาศีลแปดเรื่อยไป...โธ่...แม่จ๋า...

ออกจากป่ามาแข้งขามีแต่บาดแผลยับเยิน อาตมาคิดว่า ถ้าแม่เห็นเข้าคงแทบช็อคตาย เลยปรากฎมโนภาพขึ้นในใจ ว่าชาติไหน ๆ ก็เป็นอย่างนี้ ยามจากไปแม่ก็แทบขาดใจ กลับมาทีไรเจ็บโทรมกลับมาให้แม่รักษาเหนื่อยยากทุกที...

ภาพที่น่าขันที่สุดคือ ลูกหมาวัยคะนองไปหยอกแมวเล่น ถูกแมวตบซะร้องเอ๋ง ๆ วิ่งหัวซุกหัวซุนหาที่พึ่ง แม่ไก่ที่คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงลูกอยู่ไม่ไกล ตรงรี่เข้าช่วยเหลือประจัญบานกับเจ้าแมวจนฝุ่นตลบ...เจ้าแมวโดนโจมตีแบบตั้งตัวไม่ทัน ก็เผ่นแน่บด้วยความตกใจ...

เออหนอ...ต่างเผ่าต่างพันธุ์กันถึงเพียงนั้น ความเป็นแม่ที่รักลูกคอยปกป้องยามลูกมีภัยก็ไม่ได้น้อยลงเลย ดูเจ้าตัวแสบอีกที...ไม่มีละที่จะเข็ด คอยหาเรื่องให้แม่ตัวแม่ไก่วุ่นวายได้ไม่รู้จักจบจักสิ้นซีน่า...

“แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลัง เมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล ไม่ยอมหันเหไปจนไกล...

แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนากระไร ไม่ใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม...

ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม โอ้ว่าแม่จ๋า...ลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกประสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน...

ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น... หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย...”

“มยฺหํ มาตาปิตุ ปาเท วนฺทามิ” ลูกขอกราบลงแทบเท้าบิดา มารดา ในทุกชาติ ทุกภพ จวบจนชาตินี้ภพนี้ พระคุณความดีที่ให้การสงเคราะห์ อุ้มชูเลี้ยงดูลูกมาในทุกชาติ ลูกขอเทิดไว้เหนือเศียรเกล้าตราบสิ้นกาลนาน...




เพลง แทบเท้ามารดา


สิ่งที่มีอยู่ในตัวมารดา
ยากจักหาสิ่งใดมาเทียบได้
นึกถึงแม่ในคราใด
ฉันสุขใจตลอดเวลา
ดวงตาแม่เมื่อแลดูลูก
เหมือนสายใยพันผูกดวงชีวี
ดวงตาใดไม่เหมือนชนนี
ทั้งปราณีห่วงหาอาทร
มือของแม่ช่างอ่อนละมุน
ดั่งปุยนุ่นคอยกอดตระกอง
เสียงเพลงที่ แม่กล่อมร้อง
ท่วงทำนองราวทิพย์ดนตรี
ถึงแม้ไม่ตะวัน
มีเพียงแม่ฉันยิ้มอยู่เคียงข้าง
โลกนี้ก็จะใสสว่าง
ให้ฉันเห็นทางที่จะก้าวเดิน
ฝ่าเท้ามารดา
คือหนทางพาสู่สรวงสวรรค์
เมื่อกราบแทบเท้าแม่ทุกวัน
ฉันนอนหลับฝันแต่สิ่งที่ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น