วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

พระฉันนะ ๒





ขอขอบคุณภาพจาก www.kammatan.com/board/index.php?topic=250.15

พระฉันนะเป็นผู้ว่ายากจึงทำให้เกิดวินัยบัญญัติสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๗
เรื่องพระฉันนะ

โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ วัดโฆสิตารามเขตพระนครโกสัมพี

ครั้งนั้น คฤหบดีอุปัฏฐากของท่านพระฉันนะ ได้กล่าวกะท่านว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าโปรดตรวจดูสถานที่สร้างวิหาร กระผมจักให้สร้างวิหารถวายพระคุณเจ้า

จึงท่านพระฉันนะให้แผ้วถางสถานที่สร้างวิหาร ให้โค่นต้นไม้อันเป็นเจดีย์ต้นหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรัฏฐะ พากันบูชา
คนทั้งหลายพากัน เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้โค่นต้นไม้อันเป็นเจดีย์ ซึ่งชาวบ้านชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรัฏฐะ พากันบูชาเล่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเบียดเบียนอินทรีย์ชนิดหนึ่งซึ่งมีชีพ

ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกเหล่านั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาผู้ที่มีความมักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ย่อมเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระฉันนะจึงให้โค่นต้นไม้อันเป็นเจดีย์ ซึ่งชาวบ้านชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรัฏฐะ พากันบูชาเล่า แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท



ขอขอบคุณภาพจาก http://1ms.net/forgetmenot-436885.html

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระฉันนะว่า

"ดูกรฉันนะ ข่าวว่า เธอให้เขาโค่นต้นไม้อันเป็นเจดีย์ ซึ่งชาวบ้าน ชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรัฏฐะ พากันบูชา จริงหรือ?

ท่านพระฉันนะทูลรับว่า "จริง พระพุทธเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้ให้โค่นต้นไม้ อันเป็นเจดีย์ ซึ่งชาวบ้าน ชาวนิคม ชาวนคร ชาวชนบท ชาวรัฏฐะ พากันบูชาเล่า เพราะมนุษย์มีความสำคัญในต้นไม้ว่ามีชีพ ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว

ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระฉันนะ โดยอเนกปริยายดังนี้แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า





ขอขอบคุณภาพจากhttp://1ms.net/forgetmenot-436885.html

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้ออยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะ อันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้"






ขอขอบคุณภาพจากhttp://1ms.net/forgetmenot-436885.html


ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.phutthathum.com/พระพุทธเจ้า/ปรินิพพาน/ทรงตรัสให้พระภิกษุลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ ที่มา : เนื้อความพระไตรปิฏก เล่ม ๑ หน้า ๖๕๔-๖๕๕ บรรทัดที่ ๑๖๙๙๔-๑๗๐๓๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น