วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นครกุสินารา ๓๑






กกุธานที...สายน้ำที่ทรงสรงครั้งสุดท้าย                                                                                                 ขอขอบคุณภาพจากhttp://www.oknation.net/blog/mylifeandwork/2009/09/01/entry-3

 เมื่อเสด็จไปถึง กกุธานที ทรงสรง ทรงดื่มแล้ว เสด็จไปยังอัมพวัน ตรัสกับ พระจุนทกะว่า
"ดูก่อนจุนทกะ ท่านช่วยปูผ้าสังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้นให้เรา เราเหนื่อยนัก จักนอน "

แล้วทรง มนสิการ อุฎฐานสัญญามนสิการ (นอนพักชั่วครู่แล้วจะเสด็จเดินทางต่อ) โดยมีพระจุนทกะนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร




ขอขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=39377

ครั้งนั้นรับสั่งกับพระอานนท์ว่า
"บางทีจะมีผู้ทำความเดือดร้อนใจให้เกิดแก่นายจุนทกัมมารบุตรในภายหลังได้ว่า ตถาคตบริโภคบิณฑบาตของเธอ แล้วปรินิพพาน อานนท์เธอจงช่วยบันเทาความร้อนใจของจุนทกัมมารบุตร ด้วยคำตรัสของเราว่า

ตถาคตบริโภคบิณฑบาตใดแล้ว ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑
ตถาคตบริโภคบิณฑบาตใดแล้ว ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเลสนิพพาน ๑

บิณฑบาตสองคราวนี้มีผลเสมอกัน มีอานิสงส์เสมอกัน มีผลใหญ่กว่า มีอานิสงส์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่น ๆ กรรมที่นายจุนทกัมมารบุตรสั่งสมแล้ว เป็นไปเพื่อ อายุ วรรณะ สุขะ ยศสวรรคฺ และเป็นไปเพื่อความใหญ่ยิ่ง"

ในกาลต่อมา นางสุขาดา และนายจุนทะ ได้สดับว่าพระบรมศาสดตรัสเช่นนั้น หวนระลึกถึงผลแห่งการถวายทานของตนว่า เป็นลาภของเราหนอจึงเกิดปิติโสมนัสเป็นที่ยิ่ง

จากนั้นตรัสกับพระอานนท์ว่า เราจักข้ามไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำ หิรัญวดี

เมื่อถึงสาลวันอันเป็นที่แวะพักแห่งพวกมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา มีรับสั่งให้พระอานนท์จัดที่ประทับระหว่างไม้สาละคู่  หันศรีษะไปทางทิศอุดร  ตรัสว่าเราเหนื่อยแล้ว จักนอน แล้วทรงบรรทม อนุฏฐานไสยา (นอนแล้วไม่ลุกขึ้นอีก)

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ"พระพุทธกิจ ๔๕ พรรษา" เรียบเรียงโดย คุณสุรีย์ และเรือโท วิเชียร มีผลกิจ

หมายเหตุ
อนุปาทิเสสนิพพาน คือการดับกิเลสโดยไม่มีเบญจขันธ์นั้นหลงเหลืออยู่
http://www.oknation.net/blog/mylifeandwork/2009/09/01/entry-3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น